1. วางแผนรายจ่ายแต่ละเดือนว่าจะใช้ประมาณเท่าไหร่? เมื่อเงินเดือนออกให้เหลือเงินไว้ในบัญชีตามจำนวนรายจ่ายที่ได้วางแผนไว้ ส่วนที่เกินให้กันออกไปเป็นเงินออม (อย่างน้อย 15% ของรายได้) ใช้หลักการออมก่อนใช้
2. จัดสรรเงินออมไปลงทุนในสินทรัพย์ 3 ประเภท คือ สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง / สินทรัพย์ความเสี่ยงปานกลาง / สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง
• เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเป็นจำนวน 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน นำไปลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง ได้แก่ กองทุนตลาดเงิน และบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ โดยลงทุนในกองทุนตลาดเงินเป็นจำนวน 5 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน และฝากในบัญชีออมทรัพย์ 1 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน
• สินทรัพย์ความเสี่ยงปานกลาง เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ จะมีกำหนด Term เช่น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน หรือ จะเป็นกองทุนเปิดโดยทั่วไป จะให้ผลตอบแทนประมาณ 2.50 – 5.00% ต่อปี
• สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวมหุ้น แต่จะลงทุนในตราสารหนี้เท่าไหร่ กองทุนรวมหุ้นเท่าไหร่ ขึ้นกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แต่ถ้าใครไม่สะดวกที่จะไปจัดสรรเองก็สามารถลงทุนในกองทุนผสม โดยกองทุนเดียวจะผสมตราสารหนี้ และหุ้นมาให้เลย มีให้เลือกตามช่วงอายุ เช่น ใครที่อายุน้อยๆ หรือ รับความเสี่ยงได้สูง อาจจะลงทุนใน K-Lifestyle 2530 ซึ่งเป็นกองทุนผสมสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง เพราะจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 50% ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้
• การเลือกว่าจะลงทุนกองทุนกองใดนั้น แนะนำให้ดูรายละเอียดของแต่ละกองทุนด้วย ว่าลงทุนในหุ้นตัวใดบ้าง เราชอบหรือเหมาะกับเราหรือไม่ เพราะบางกองทุนอาจจะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ บางกองทุนลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก บางกองทุนลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น
• หลักการสำคัญอีกข้อคือ ให้ทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อย่าลงทุนครั้งเดียว จะได้กระจายความเสี่ยงด้านราคาด้วย แต่ถ้ามีเงินลงทุนเป็นเงินก้อนอยู่แล้ว ให้เริ่มต้นโดยการนำเงินที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไปลงทุนในกองทุนตลาดเงินก่อน หลังจากนั้นทยอยสับเปลี่ยนไปกองทุนรวมหุ้นสัปดาห์ละ 5-10% จนครบตามจำนวนที่วางแผนไว้
• คอยติดตามพอร์ตการลงทุนของตัวเองทุกๆ 6 เดือน เพื่อทำการปรับสัดส่วนของสินทรัพย์แต่ละประเภทให้เหมาะสม สมมติว่าตั้งเป้าหมายที่จะลงทุนในกองทุนหุ้น 50% เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน สัดส่วนของกองทุนหุ้นเป็น 55% จะต้องทำการย้ายเงินลงทุนส่วนของกองทุนหุ้น 5% ที่เพิ่มขึ้นมานั้น ไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แทน หรือในทางกลับกัน ถ้าสัดส่วนของกองทุนหุ้นลดลงเหลือ 45% ก็ให้ย้ายเงินลงทุนจากกองทุนตราสารหนี้ 5% มาเพิ่มเป็นกองทุนหุ้น เพื่อให้สัดส่วนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เป็นไปตามที่วางแผนไว้