สินเชื่อ/ธุรกิจ
What & Where สิ่งที่ต้องคิด ก่อนส่งออก
การขายของให้คนในประเทศไทยแค่ 69.04 ล้านคน อาจไม่เร้าใจเท่าส่งออกไปทั่วโลกที่มีคนมากถึง 7.53 พันล้านคน แต่การส่งออกไม่ใช่นึกอยากจะลุกขึ้นมาทำก็ทำได้ทันที ยังมีหลายอย่างที่ต้องศึกษาและเตรียมตัว แต่ก่อนไปถึงขั้นลงมือศึกษาอย่างเจาะลึกและจริงจัง อย่างน้อยควรตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการส่งออกอะไรและส่งออกไปที่ไหนดี เพราะหากยังไม่ตั้งธงสองสิ่งนี้คงยากที่จะศึกษาได้อย่างจริงจัง K-Expert มีคำแนะนำในเรื่องนี้มาฝาก
I : เริ่มต้นจากสิ่งที่มี
“ส่งออกอะไรดีนะถึงตรงใจลูกค้า?” กับ “ส่งออกไปไหนดีนะที่สินค้าเราน่าจะขายดี?” สองคำถามนี้เหมือนกับ “ไก่กับไข่” ที่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากสิ่งไหนก่อนดี สิ่งที่ช่วยตัดสินได้ดีที่สุดคือ ต้นทุนที่เรามี ว่ามีอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 สิ่งนี้หรือไม่
1) มีสินค้าหรือกิจการอะไรอยู่
• เช่น ปัจจุบันทำธุรกิจผลิตหรือขายสินค้าบางอย่างในประเทศอยู่ ไม่ว่าจะมีหน้าร้านหรือช่องทางออนไลน์ หากคิดจะขยายตลาดโดยการส่งออกสินค้าตนเองไปขายต่างประเทศบ้างก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะอาจจะลงทุนเพียงแค่เปิดช่องทางการตลาดใหม่ โดยยังคงกระบวนการผลิตไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก
• ส่วนการหาว่าควรส่งออกไปประเทศไหนดี ก็คงต้องศึกษาเชิงลึกต่อไป เพราะแต่ละประเทศก็มีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ต่างกัน รวมไปถึงศึกษากลุ่มลูกค้าในแต่ละประเทศนั้นด้วยว่า มีความต้องการสินค้าของเรามากน้อยแค่ไหน
2) มีความคุ้นเคยกับประเทศไหนเป็นพิเศษ
เช่น อาจมีคนรู้จัก เคยไปศึกษาหรือเคยอาศัยอยู่ในประเทศนั้นมาก่อน ทำให้เข้าใจกลุ่มคนในประเทศนั้นๆ ว่ามีพฤติกรรมการซื้อและใช้สินค้าต่างๆ อย่างไร มีสินค้าประเภทไหนที่ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ในประเทศนั้น โดยเราสามารถหาสินค้าได้ภายในประเทศไทย ไม่ว่าจะผลิตได้เองหรือจ้างคนมาผลิตก็ตาม
II : ส่งออก ไปไหนดี (Where)
• สำหรับใครที่มีของ มีสินค้าที่คิดอยากจะขาย แต่ไม่ได้รู้จักประเทศไหนเป็นพิเศษ หรือหากอยากเริ่มต้นจากประเทศที่จะไปแล้วค่อยศึกษาว่าจะขายอะไรดีภายหลัง อาจลองเริ่มจากเช็กข้อมูลว่าประเทศไหนที่คนไทยส่งออกไปมากที่สุด เพราะข้อดีข้อหนึ่งของการเลือกประเทศที่มีคนไทยนิยมส่งออกคือ เราสามารถหาข้อมูลประเทศนั้นได้ง่าย เพราะหน่วยงานต่างๆ ก็มักให้การสนับสนุน รวมไปถึงมีผู้มากประสบการณ์หลายคนที่ออกมาแชร์สิ่งที่ได้ประสบมาทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วย
• หากต้องการรู้ว่าคนไทยนิยมส่งออกไปประเทศไหนมากที่สุดนั้น ข้อมูลการส่งออกจากกระทรวงพาณิชย์ ถือเป็นตัวช่วยหนึ่งของเราได้ เช่น ข้อมูลปี 2561 พบว่า ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 3 ประเทศแรก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หากเราเข้าใจเงื่อนไข ข้อจำกัด และภาษาของ 1 ใน 3 ประเทศนี้ ก็สามารถเลือกประเทศเป้าหมายได้ไม่ยาก แต่หากรู้สึกว่าประเทศเหล่านี้มีข้อจำกัดที่ไม่เหมาะสมกับสินค้าของเรา อาจลองมองหาประเทศลำดับรองๆ ลงมา เช่น เวียดนาม ซึ่งไทยส่งออกเป็นลำดับ 4 และอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าสำหรับบางคนหรือบางสินค้า
• หรือ ใครที่มีสินค้าของตนเองอยู่แล้ว อาจลองเช็กว่าสินค้าที่มีอยู่ในประเภทเดียวกับเรานั้นนิยมส่งออกไปประเทศไหนบ้าง เช่น สินค้ากลุ่ม "เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว" ปี 2561มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 ประเทศแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เวียดนาม โดยเราสามารถเลือกประเทศที่คิดว่าง่ายต่อการหาข้อมูลหรือเหมาะกับเราที่สุด เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งออกก็ได้
III : ส่งออก อะไรดี (What)
• สำหรับใครที่มีประเทศที่คุ้นเคยอยู่หรือได้ลองเลือกประเทศเป้าหมายจากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว โดยยัง ไม่มีสินค้าหรือไอเดียอะไรเป็นพิเศษ อาจเริ่มจากการมองหาสินค้าที่ประเทศไทยนิยมส่งออกไปยังประเทศนั้นมากที่สุด และเป็นสินค้าที่เราสามารถผลิตหรือหามาได้ เช่น หากเลือกที่จะส่งออกไปประเทศเวียดนามแล้ว จากข้อมูลปี 2561 พบว่าสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลำดับ 1 คือ “ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ” แต่สินค้าประเภทนี้คงมีเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่ทำได้ หากเราเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ อาจลองมองหาสินค้าที่มียอดส่งออกรองๆ ลงมา และมีความเป็นไปได้สักหน่อย เช่น "เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว" หรือ "ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง” เป็นต้น
การส่งออกมีหลายอย่างที่ต้องศึกษาและให้ความสำคัญ การกำหนดจุดสตาร์ทที่ชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถทุ่มเทเวลาเพื่อศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและประเทศนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่ เช่น สภาวะตลาด พิธีการศุลกากร เอกสารที่ต้องใช้ รวมไปถึงตัวช่วยด้านการเงินจากธนาคาร เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้อง :