-
ปี 2568 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุน RMF, Thai ESG และ Thai ESGX รวมกันได้สูงสุดถึง 1.4 ล้านบาท โดยควรเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีให้เหมาะกับเป้าหมายและตรงกับความต้องการ
-
กองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำในปี 2568 สำหรับกองทุน RMF แนะนำกองทุน K-FIRMF, K-GDBONDRMF, K-WPBALRMF, K-US500XRMF และ K-GSELECTRMF ส่วนกองทุน Thai ESG แนะนำกองทุน K-ESGSI-ThaiESG และ K-TNZ-ThaiESG
เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี นอกจากของขวัญ ของฝากที่หลายคนกำลังมองหาเพื่อมอบให้แก่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะกำลังมองหาอยู่เช่นกัน นั่นคือ กองทุนลดหย่อนภาษี แล้วปีนี้ควรจะซื้อกองทุนไหนดีที่จะช่วยลดภาระภาษีหรือได้เงินคืนภาษีกลับมา รวมถึงช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวให้กับคุณ บทความนี้ K WEALTH มัดรวมกองทุนลดหย่อนภาษีเด่นในปี 2568 มาแนะนำ
ภาพรวมกองทุนลดหย่อนภาษี 2568
กองทุนลดหย่อนภาษีที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ในปี 2568 นี้มี 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
-
กองทุน RMF
เน้นส่งเสริมให้ผู้ลงทุนออมเงินระยะยาวเพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยสามารถนำเงินลงทุนกองทุน RMF มาลดหย่อนภาษีได้ปีละ 30% ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนคือ
- ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อยปีละครั้ง หรือเว้นได้ไม่เกิน 1 ปี และลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม
- ต้องถือหน่วยลงทุนไว้จนถึงอายุ 55 ปี และลงทุนมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี จึงจะขายคืนหน่วยลงทุนได้
-
กองทุน Thai ESG
เน้นลงทุนระยะยาวเพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยสามารถนำเงินลงทุนกองทุน Thai ESG มาลดหย่อนภาษีได้ปีละ 30% ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี ไม่เกิน 300,000 บาท
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนคือ
- ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ลงทุนปีไหนก็ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีนั้น
- ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ
-
กองทุน Thai ESGX
เน้นลงทุนระยะยาวเพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนเช่นเดียวกับกองทุน Thai ESG โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV สำหรับเงินลงทุนที่นำมาลดหย่อนในปีนี้ แบ่งเป็น
- เงินลงทุนใหม่ สามารถนำเงินลงทุนกองทุน Thai ESGX มาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี ไม่เกิน 300,000 บาท
- เงินลงทุนที่ย้ายมาจากกองทุน LTF สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 300,000 บาท ในปี 2568
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนคือ
- ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ลงทุนปีไหนก็ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีนั้น
- ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อกรณีเงินลงทุนใหม่ หรือนับจากวันที่แจ้งสับเปลี่ยนกองทุน LTF กรณีเงินลงทุนที่ย้ายมาจากกองทุน LTF
ทั้งนี้ ปัจจุบันกองทุน Thai ESGX ได้ปิดรับการซื้อหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนแล้ว
เมื่อนับรวมสิทธิลดหย่อนจากทั้ง 3 ประเภทกองทุน จะเห็นว่า ปีนี้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุนได้สูงสุดถึง 1.4 ล้านบาทเลยทีเดียว ทั้งนี้ สามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ Thai ESG ได้จนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2568
เปรียบเทียบกองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำ
กองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำปีนี้มีกองทุนไหนบ้าง มัดรวมมาให้แล้วดังนี้
กองทุน RMF
กองทุน Thai ESG
กองทุนลดหย่อนภาษีของบลจ.กสิกรไทย มีจุดเด่นที่การบริหารจัดการโดยบลจ.ขนาดใหญ่ มีความน่าเชื่อถือ พร้อมประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุน ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการที่สูง มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกลงทุนหลากหลาย และยังมีช่องทางลงทุนที่ง่ายและสะดวก ผู้ลงทุนจึงไม่ควรพลาดลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีของบลจ.กสิกรไทย
วิธีเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีให้เหมาะกับเป้าหมาย
การเลือกกองทุนลดหย่อนภาษี นอกจากเรื่องผลประโยชน์ทางภาษีและนโยบายการลงทุนแล้ว ควรเลือกให้เหมาะกับเป้าหมายหรือความต้องการของเราด้วย โดย
-
มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มวางแผนภาษี แนะนำให้เริ่มจากการลงทุนในตราสารหนี้ อย่างกองทุน K-ESGSI-ThaiESG เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำและระยะเวลาลงทุนไม่นานเกินไป
-
คนวัยทำงานที่อยากให้เงินเติบโต แนะนำลงทุนในหุ้นต่างประเทศ อย่างกองทุน K-US500XRMF, K-GSELECTRMF หากสามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพราะมีโอกาสให้เงินเติบโตได้มากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ
-
ผู้ใกล้เกษียณ หรือเน้นความมั่นคง แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ อย่างกองทุน K-FIRMF, K-GDBONDRMF หรือกองทุนผสมที่มีการลงทุนทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก อย่างกองทุน K-WPBALRMF เนื่องจากมีความเสี่ยงและความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น
-
นักลงทุนสายรักษ์โลก แนะนำลงทุนในกองทุน Thai ESG อย่างกองทุน K-TNZ-ThaiESG ที่ส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน
เริ่มลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีอย่างไร
คนที่กำลังมองหากองทุนลดหย่อนภาษีที่น่าสนใจและตัดสินใจเลือกกองทุนที่จะลงทุนในปีนี้ได้แล้ว ขอแนะนำวิธีลงทุนที่ง่ายและสะดวกคือ การลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS หากใครยังไม่มีบัญชีกองทุนก็สามารถเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ได้เลย
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.kasikornbank.com/th/personal/digital-banking/pages/kplus-investment.aspx
สำหรับใครที่ยังไม่เริ่มวางแผนภาษี แนะนำให้เริ่มวางแผนได้เลยทันที โดยทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีที่สนใจ เหมาะกับเป้าหมายและตรงกับความต้องการ อย่ารอให้ถึงวันสุดท้ายของปีแล้วค่อยลงทุน เพราะหากลงทุนไม่ทันอาจพลาดโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ไปเลยก็ได้
หมายเหตุ:
-
ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-ESGSI-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 3
- K-FIRMF: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-GDBONDRMF, K-WPBALRMF: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-US500XRMF, K-GSELECTRMF, K-TNZ-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
-
นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-ESGSI-ThaiESG: ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
- K-GDBONDRMF, K-WPBALRMF, K-US500XRMF, K-GSELECTRMF: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
-
ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-FIRMF, K-GDBONDRMF, K-ESGSI-ThaiESG, K-TNZ-ThaiESG: T+2
- K-US500XRMF, K-GSELECTRMF: T+3
- K-WPBALRMF: T+5
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย