ช่องว่างที่เกิดขึ้นจริงระหว่าง ThaiESG กับผู้ลงทุน
ช่วงที่ผ่านมา มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่มองหาเพียงกองทุนที่ปลอดภัย ลงทุนยั่งยืน และได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จึงเลือกลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ ThaiESG แต่หลายคนกลับพบว่าผลตอบแทนของกองทุนเหล่านั้น “ผันผวนมากกว่าที่คาดไว้” แม้จะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ก็ตาม
ความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกตราสาร แต่เกิดจากโครงสร้างของกองทุน ThaiESG แบบเดิมในตลาดที่มักเน้นการลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว อายุเฉลี่ยพอร์ต (Duration) มักอยู่ในช่วง 7–10 ปี (ซึ่งสอดคล้องกับเงื่อนไขแรกของการตั้งกองทุน ThaiESG ที่ต้องถือครองอย่างน้อย 8 ปี) แต่ Duration ยิ่งยาว ยิ่งทำให้ราคากองทุนอ่อนไหวต่อการขึ้นลงของการคาดการณ์ดอกเบี้ยมากขึ้น
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปีภาษี 2567 เป็นต้นมา กรมสรรพากรได้ปรับเกณฑ์ให้ต้องถือครองอย่างน้อย 5 ปีนับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุน ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ “สั้นลง” และ “จับต้องง่ายขึ้น” สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่ปัญหาคือ กองทุนตราสารหนี้ ThaiESG ที่มีอยู่ในตลาด ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “ระยะถือ 5 ปี”
สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาคือ เมื่อ Duration ของกองยาวเกินไป ราคา จึงอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยมากขึ้น ผู้ลงทุนที่ตั้งใจถือ 5 ปี กลับต้องรับความเสี่ยงของกองระยะยาวโดยไม่จำเป็น เพราะกองทุนที่ถืออยู่กลับอิงตราสารหนี้ที่มีอายุยาวเกินช่วงเวลาที่นักลงทุนต้องการถือจริง
ปัญหานี้ยิ่งชัดเจนในช่วงเดือนที่ผ่านมา เมื่อดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาด ราคาของพันธบัตรระยะยาวจึงปรับลดลงมาก ทำให้มูลค่ากองทุนผันผวนตามไปด้วย ทั้งที่ผู้ลงทุนหลายคนเข้าใจว่า “ราคากองตราสารหนี้ควรนิ่งกว่านี้”
นี่คือจุดที่ช่องว่างระหว่าง โครงสร้างกองทุน และ พฤติกรรมผู้ลงทุนจริง เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
K-ESGBF-ThaiESG ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ

Source: KAsset as of 9 Sep 2025**
K-ESGBF-ThaiESG ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 3–7 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ “พอดีที่สุด” กับการถือครอง 5 ปี สำหรับผู้ลงทุนซื้อเพื่อใช้สิทธิ์ภาษี อายุเฉลี่ยที่น้อยลงช่วยลดความผันผวนลงเมื่อเทียบกับการถือพันธบัตรระยะยาว เพราะราคาของตราสารหนี้ระยะกลางไม่ไวต่อการขึ้นลงของดอกเบี้ยมากเกินไป แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนมากกว่าการถือแต่ตราสารหนี้ระยะสั้น
นอกจากนี้ กองทุนยังสามารถปรับ Duration ได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อให้เหมาะสมกับสถาน์การณ์ตลาดมากขึ้น เนื่องจากลงทุนทั้งในพันธบัตร (โดยทั่วไปพันธบัตรด้านความยั่งยืนมี Duration มากกว่า 7 ปี) และ หุ้นกู้เอกชน (โดยทั่วไปหุ้นกู้ ความยั่งยืนมี Duration ต่ำกว่า 7 ปี)**
อีกจุดเด่นที่ทำให้กองทุนนี้คุ้มค่าแก่การลงทุนมากขึ้น คือ การผสมการลงทุนใน หุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี ระดับ Investment Grade ได้มากถึง 30-70% ซึ่งหุ้นกู้ประเภทนี้ มักออกโดยบริษัทขนาดใหญ่และมีความมั่นคงทางการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นกู้เอกชนเหล่านี้ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล ทำให้นักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนจากส่วนต่างเครดิต (Credit Spread) เพิ่มขึ้นมากกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital gain) หาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับลดลงในอนาคต

Source: Bloomberg as of 14 Nov 2025
จากรูปจะเห็นว่าตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี (เส้นสีแดงและสีฟ้า) ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย (เส้นสีเขียว) ในทุกช่วงอายุของตราสาร นี่คือเหตุผลว่าทำไมกอง K-ESGBF-ThaiESG จึงผสมหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีเข้ามาในพอร์ตด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มศักยภาพผลตอบแทนของกองทุน ในขณะที่ยังคงเน้นความมั่นคงเป็นหลัก
ผลลัพธ์คือ ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนรวมที่ “คุ้มขึ้น” และยังลด “ความผันผวน” จากอายุตราสารที่น้อยลงอีกด้วยลดความอ่อนไหวจากการคาดการณ์ดอกเบี้ย
K-ESGBF-ThaiESG คือคำตอบที่ “ใช่” ที่สุดในจังหวะนี้?
ผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยที่อยากได้กองตราสารหนี้ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการถือครองของ ThaiESG ด้วยแนวคิด “Insight to Impact” ของ บลจ.กสิกรไทย จึงเปิดกองทุนใหม่ K-ESGBF-ThaiESG กองทุน ThaiESG กองแรกของไทย ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนที่มีคุณภาพระดับ Investment Grade ตราสารที่ลงทุนเป็นตราสารหนี้ระยะกลาง (Duration เฉลี่ย) 3-7 ปีพร้อมกลยุทธ์ปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับทุกสภาวะตลาด
ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสได้ทั้ง
- โอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมจากส่วนต่างเครดิต (Credit Spread)
- ความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มและลด Duration ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด
- สร้างสมดุลระหว่างการสร้างผลตอบแทน และควบคุมความผันผวน/ความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปิดเสนอขายหลัง IPO 24 พฤศจิกายน 2568
* โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก บลจ. กสิกรไทย (KASSET)
**หมายเหตุ:
- ข้อมูลดังกล่าวเป็นภาพตัวอย่างเท่านั้น การลงทุนอาจแตกต่างจากข้อมูลที่แสดงได้ บริษัทจัดการสามารถปรับเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ลงทุนหรือสัดส่วนการลงทุนได้ต่อเมื่อ มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจเกิดสถานการณ์ที่จะทำให้บริษัทจัดการจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินหรือสัดส่วนการลงทุนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ
- เมื่อเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) กองทุนอื่นของ บลจ.กสิกรไทย
- Credit Spread หมายถึง ส่วนต่างของผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้เอกชนกับตราสารหนี้รัฐบาล ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงของผู้ออกตราสารเอกชน หาก Credit Spread ขยายตัว (เช่น จากภาวะเศรษฐกิจผันผวน) จะส่งผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้ด้วย
- อ้างอิงจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ณ 25 ส.ค. 2568
- สูตรประมาณการ: Δราคาตราสารหนี้ = - ดูเรชั่น × Δอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน