สรุปเรื่องต้องรู้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนยื่นภาษี 2568 การเตรียมเอกสาร วิธีคำนวณ เคล็ดลับลดหย่อน ไปจนถึงการขอคืนภาษี พร้อมอัปเดตข้อมูลล่าสุด ช่วยให้คุณยื่นภาษีได้ถูกต้องและได้สิทธิประโยชน์เต็มที่

กดฟัง
หยุด
  • ใกล้ปลายปี 2568 มีใครแอบดูสลิปเงินเดือนของตนเองแล้วบ้างว่าถูกหักภาษีไปเท่าไร หลายคนอาจตกใจที่เห็นภาษีที่ถูกหักเป็นจำนวนเงินมากกว่าที่คิด เริ่มรู้สึกกังวลอยากหาวิธีลดหย่อนเพื่อประหยัดภาษีและจัดการการเงินของตนเอง
  • ​ ​ K WEALTH ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการยื่นภาษี พร้อมวิธีคำนวณและเคล็ดลับการประหยัดภาษีที่คุณต้องรู้มาให้แล้วในบทความนี้

การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นหน้าที่สำคัญสำหรับเราทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ตามกฎหมาย การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการยื่นภาษีจึงจำเป็น ที่ต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถจัดการภาษีได้รัดกุมเป็นระบบและปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างถูกต้องรวมถึงการจัดการด้านการเงินของเราเองอย่างคุ้มค่า​



รายได้ที่ต้องยื่นภาษีและฐานภาษี 2567

​เกณฑ์เงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ในรอบปีภาษี (1 มกราคม - 31 ธันวาคม) “ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี” แบ่งเป็นสำหรับคนโสดและคนที่สมรสแล้ว และ ต้องทราบประเภทของเงินได้ก่อนยื่นภาษีด้วย


​ประเภทของเงินได้พึงประเมินแบ่งเป็น 8 ประเภท ดังนี้

  • 40(1) เงินเดือน โบนัส ค่าล่วงเวลา
  • ​40(2) รับจ้างทำงาน ค่านายหน้า
  • 40(3) ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร
  • 40(4) ดอกเบี้ย เงินปันผล
  • 40(5) ค่าเช่าบ้าน/คอนโดฯ หรือทรัพย์สินอื่น
  • 40(6) วิชาชีพอิสระที่กำหนดไว้ เช่น แพทย์ นักบัญชี นักกฎหมาย วิศวกร ฯลฯ
  • ​40(7) รับเหมาก่อสร้าง
  • 40(8) รายได้อื่นๆ นอกจาก 1-7 อ้างอิงตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น ขายของออนไลน์ ดารานักแสดง ฯลฯ

​ เกณฑ์เงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นภาษี

คนโสด ​
ประเภทเงินได้
​รายได้เฉลี่ยต่อเดือน
รายได้ทั้งปี
​มีเฉพาะ 40(1) เช่น เงินเดือน โบนัส
​10,000 บาทขึ้นไป
​120,000 บาทขึ้นไป
​มีเงินได้ประเภทอื่นด้วย
​5,000 บาทขึ้นไป
​60,000 บาทขึ้นไป
คนที่สมรสแล้ว​​ ​
​ประเภทเงินได้
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน
​รายได้ทั้งปี
​มีเฉพาะ 40(1) เช่น เงินเดือน โบนัส
​รวมกัน 18,333 บาทขึ้นไป
​รวมกัน 220,000 บาทขึ้นไป
​มีเงินได้ประเภทอื่นด้วย
​รวมกัน 10,000 บาทขึ้นไป
​รวมกัน 120,000 บาทขึ้นไป​

จากตารางจะเห็นว่า บางคนแม้รายได้ยังไม่ถึงเกณ์ฑเสียภาษี แต่ก็ยังมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีทุกปี ในช่วง ม.ค.-มี.ค. ของปีถัดไป


รายได้เท่าไหร่ที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี ใช้อะไรลดหย่อนได้บ้าง

บุคคลที่มีเงินได้สุทธิต่อปีมากกว่า 150,000 บาท ต้องเสียภาษี หรือสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไปที่มีการจ่ายเงินประกันสังคม คือ คนที่มีรายได้ทั้งปีมากกว่า 319,000 บาท หรือคิดเป็นรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มากกว่า 26,583 บาท ต้องเสียภาษี โดยมีรายละเอียดดังนี้


เงินได้สุทธิ = เงินได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน

  • ​รายได้รวม 319,000 บาท
  • หัก ค่าใช้จ่ายตามกฎหมายสำหรับเงินได้ 40(1) (100,000) บาท
  • หัก ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000) บาท
  • หัก เงินสะสมประกันสังคม (9,000) บาท
  • เหลือ เงินได้สุทธิ 150,000 บาท​ ​

​ค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนที่นำมาหักจากเงินได้ทั้งปีเป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดในปีนั้นๆ โดยอาจมีมาตรการพิเศษ เช่น โครงการที่ภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น

  • Easy E-Receipt 2.0 สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการที่มีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568
  • ​เที่ยวดี มีคืน สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับค่าที่พักและค่าบริการของร้านอาหารที่มีใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568
​ ​

สำหรับรายละเอียดรายการลดหย่อนปี 2568 สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากบทความของ K WEALTH “รวมสิทธิลดหย่อนภาษี​” ​



สำหรับคนที่มีรายได้มากกว่า 319,000 บาท เมื่อคำนวณเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนที่มีแล้ว สามารถคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายได้ โดยนำ “เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี” ที่เป็นอัตราภาษีก้าวหน้า ตามตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

แบ่งตามฐานภาษี ดังนี้​

​เงินได้สุทธิ (บาท)
​อัตราภาษี (%)
​0-150,000
​ได้รับยกเว้น
​150,001-300,000
​5
​300,001-500,000
​10
​500,001-750,000
15
​750,001-1,000,000
​20
​1,000,001-2,000,000
​25
​2,000,001-5,000,000
​30
​5,000,001 ขึ้นไป​
​35


เช่น เงินได้สุทธิ 600,000 บาท ภาษีเงินได้ = [(300,000 – 150,000) x 5%] + [(500,000 – 300,000) x 10%] + [(600,000 – 500,000) x 15%] = 37,500 บาท


หากคำนวณภาษีของตนเองแล้วพบว่าต้องเสียภาษีในจำนวนที่สูงกว่าที่คาดไว้ และอยากหาวิธีลดหย่อนเพื่อประหยัดภาษีพร้อมวางแผนการจัดการการเงินไปด้วยเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด K WEALTH ขอแนะนำ 3 กลุ่มทางเลือกลดหย่อนภาษี ดังนี้

  1. เลือกประกันชีวิต
  2. เลือกกองทุนลดหย่อนภาษี/ประกันบำนาญ
    • กองทุน RMF สูงสุด 30% ของเงินได้ที่เสียภาษี ไม่เกิน 500,000 บาท (ลงทุนต่อเนื่องถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนอย่างน้อย 5 ปี จึงจะมีสิทธิขาย) อย่างกองทุน K-WPBALRMF ลงทุนกองทุนเดียวได้ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลก มีผู้เชี่ยวชาญและพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง JPMAM ดังนั้น ไม่ต้องคอยจับจังหวะการลงทุนด้วยตัวเอง https://www.kasikornbank.com/th/personal/invest/digitalmf/pages/kwpbalrmf.aspx
    • ประกันแบบบำนาญ (ระบุว่า บำนาญลดหย่อนภาษีได้) สูงสุด 15% ของเงินได้ที่เสียภาษี ไม่เกิน 200,000 บาท อย่างประกันบำนาญลดหย่อนได้ จ่ายสั้นปรับได้ 90/5

โดย RMF + ประกันบำนาญ + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ + กองทุนการออมแห่งชาติ ฯลฯ รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท



    3.เลือกกองทุน Thai ESG
    • ​กองทุน Thai ESG สูงสุด 30% ของเงินได้ที่เสียภาษี ไม่เกิน 300,000 บาท (ถือครอง 5 ปี นับวันชนวัน) อย่างกองทุน K-ESGSI-ThaiESG เน้นลงทุนตราสารที่ออกโดยภาครัฐ มีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ ยิ่งลงทุนยาว ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูง ได้รับรางวัลมากมายทั้งในและต่างประเทศ https://www.kasikornbank.com/th/personal/invest/digitalmf/pages/k-esgsi-thaiesg.aspx
      ​ ​
    ​ ​
​ ​​


วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้เราประหยัดภาษีไปพร้อมๆ กับการบริหารความเสี่ยงและการสร้างเงินออมไว้ใช้ในอนาคต



ขั้นตอนการขอคืนภาษี 2568

หากคำนวณแล้วพบว่าถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เกินกว่าฐานภาษีของตนเอง ก็สามารถขอคืนภาษีได้ เช่น คนฐานภาษี 5-10% สามารถขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ของดอกเบี้ยที่ถูกหัก 15% ได้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ โดย

  • ยื่นแบบแสดงรายการภาษีพร้อมเอกสารประกอบ
  • นำรายได้จากดอกเบี้ยยื่นเป็นรายได้ส่วนเพิ่มจากรายได้อื่น พร้อมระบุภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย
  • เลือกวิธีรับเงินคืนผ่านโอนเข้าบัญชีหรือเช็ค
  • ติดตามสถานะการขอคืนภาษีผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการยื่นภาษี 2568

รูปแบบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ 2 แบบ คือ ภ.ง.ด.90 (สำหรับผู้มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือน) และ ภ.ง.ด.91 (สำหรับผู้มีรายได้เป็นเงินเดือนโดยไม่มีรายได้เสริมอื่น) โดยต้องเตรียมเอกสารดังนี้

  • หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ทั้งจากรายได้เงินเดือน ดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ
  • รายการลดหย่อนภาษีที่รวบรวมทั้งปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา เงินลงทุนกองทุน RMF, Thai ESG เบี้ยประกัน เงินบริจาค
  • เอกสารอื่นๆ ประกอบการลดหย่อนภาษี เพื่อกรอกแบบฟอร์มการยื่นภาษี

สถานที่สำหรับการยื่นภาษี

  • ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบ E-Filing ของ กรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/rd-cms/
  • ยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน RD Smart Tax โดยต้องทำการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรก่อน จึงจะสามารถยื่นผ่านแอปพลิเคชันได้
  • หากไม่สะดวกยื่นออนไลน์ ก็สามารถยื่นภาษีด้วยตัวเองที่กรมสรรพากร หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา

ทั้งนี้ ในช่วงก่อนสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราจะรวบรวมเอกสารสำคัญและตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร รวมถึงหากพบว่ามีค่าลดหย่อนใดที่ยังไม่เต็มสิทธิก็ยังมีเวลาให้ใช้สิทธิเพิ่มได้ทันภายในสิ้นปี เพื่อเตรียมพร้อมยื่นภาษีก่อนไปเคาน์ดาวน์ ซึ่งโดยปกติทางกรมสรรพากรจะมีการเปิดระบบให้สามารถยื่นภาษีได้ในช่วงประมาณเดือน ม.ค. - มี.ค. ของปีหน้า หากเรายื่นภาษีเร็ว ก็จะได้รับเงินคืนจากภาษีที่หักไว้เกินได้เร็ว เพราะหากยื่นภาษีใกล้ๆ วันก่อนปิดระบบ ก็อาจจะต้องรอคิวในการขอคืนภาษีนานหน่อย รวมทั้งมีโอกาสหลงลืม ยื่นภาษีไม่ทันตามที่กำหนด เสี่ยงต่อการถูกเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากกรมสรรพากรได้


หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-ESGSI-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 3
    • K-WPBALRMF: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-ESGSI-ThaiESG: ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
    • K-WPBALRMF: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-ESGSI-ThaiESG: T+2
    • K-WPBALRMF: T+5

คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTH

Back to top