สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3 ปี 2024 ของหุ้นสหรัฐฯ
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดการลงทุน นอกเหนือจากปัจจัยทางการเมืองในสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา คือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ปี 2024 ของสหรัฐฯ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงแนวโน้มและความคาดหวังของนักลงทุนต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอนาคตได้อย่างชัดเจน
จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 22 พ.ย. 67 บริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ออกมาแล้ว 472 บริษัท จากทั้งหมด 500 บริษัท โดยภาพรวมถือว่าแข็งแกร่ง โดยรายได้รวมเติบโต +5.21% YoY และ กำไรรวมเติบโต +8.47% YoYโดยผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดย Sector ที่มีกำไรเติบโตโดดเด่นจะเป็นกลุ่ม Communication Services, Technology และ Consumer Discretionary ส่วนอุตสาหกรรมที่กำไรปรับตัวลดลงจะเป็นกลุ่ม Energy, Industrials และ Materials
Source : Bloomberg
แต่ถ้าพูดถึงหุ้นกลุ่มใหญ่ที่เป็นตัวชี้นำตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะมีสัดส่วนน้ำหนักสูงถึง 31% ในดัชนี S&P500 อยู่ในขณะนี้ และอยู่ในความสนใจของนักลงทุนเป็นจำนวนมาก จะเป็นหุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 (ประกอบด้วยหุ้น APPLE, AMAZON, ALPHABET (GOOGLE), MICROSOFT, META PLATFORMS, NVIDIA, TESLA) ที่มีการประกาศงบออกมาครบแล้ว โดยจะมีรายละเอียดดังนี้
สรุปงบหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ไตรมาส 3 ปี 2024
Source : Alphastreet
1. Tesla
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Tesla รายงานรายได้สุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 อยู่ที่ 25.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าจะเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิต สุดท้ายคือกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.72 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าและสูงกว่าคาดการณ์ของตลาดถึง 22%
แนวโน้มระยะข้างหน้า: Elon Musk คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในปี 2025 จะอยู่ในช่วง 20% ถึง 30% ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัยขับเคลื่อน (drivers) สำคัญดังนี้: • การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในกลุ่ม Affordable Segment: Tesla มีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีราคาย่อมเยาในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่และขยายส่วนแบ่งการตลาด โดยเฉพาะในตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อราคา ซึ่งการเปิดตัวนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จะช่วยขับเคลื่อนยอดขายในปี 2025
• การพัฒนาระบบ Full Self-Driving (FSD): Tesla ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (FSD) ซึ่งจะสร้างความน่าสนใจให้กับลูกค้าและช่วยเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์ การพัฒนาระบบนี้ยังเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่จะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
• การเปิดให้บริการ Robotaxi: Tesla มีแผนเปิดตัวบริการแท็กซี่อัตโนมัติ (Robotaxi) ในรัฐแคลิฟอร์เนียและเท็กซัสในอนาคตอันใกล้ โดยบริการนี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดรายได้จากแหล่งใหม่ เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจนอกเหนือจากการขายรถยนต์
การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากทั้งการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาและการสร้างรายได้จากบริการเทคโนโลยีขั้นสูงที่ Tesla ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้ การสื่อสารกลยุทธ์เหล่านี้ชัดเจนจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจภาพรวมที่ครอบคลุมของแผนการเติบโตในปี 2025 ของบริษัท
Source : Alphastreet
2. Microsoft
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Microsoft รายงานรายได้ไตรมาสที่ 3 ปี 2024 อยู่ที่ 65.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16% YoY กำไรสุทธิ อยู่ที่ 22.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 21% YoY สูงกว่าคาดการณ์ของตลาด แสดงถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญดังนี้:
• ธุรกิจ Cloud Computing: รายได้จาก Azure ซึ่งเป็นบริการ Cloud Computing ของบริษัท เติบโต 20% YoY และยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในธุรกิจ Cloud
• กลุ่มผลิตภัณฑ์ Office 365 และ LinkedIn: รายได้จาก Office 365 เพิ่มขึ้น 17% YoY จากความต้องการที่แข็งแกร่งในกลุ่มองค์กรที่เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ในขณะที่ LinkedIn มีการเติบโต 13% YoY โดยได้แรงหนุนจากบริการโฆษณาและการเพิ่มจำนวนสมาชิกแบบพรีเมียม
• ธุรกิจเกมและฮาร์ดแวร์: รายได้จาก Xbox เพิ่มขึ้น 9% YoY ส่วนฮาร์ดแวร์ เช่น Surface ก็มีอัตราการเติบโตในระดับเลขสองหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์เพื่อการทำงานแบบไฮบริด
แนวโน้มระยะข้างหน้า: ในปี 2025 Microsoft คาดการณ์การเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยดังนี้:
• การเติบโตของ Azure: บริการคลาวด์ Azure ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของรายได้ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 31% ถึง 32% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2025
• การผนวก AI Copilot ในผลิตภัณฑ์ Office: การรวมฟีเจอร์ AI Copilot ในชุดผลิตภัณฑ์ Office คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ในตลาดองค์กร
• การลงทุนใน OpenAI และ Quantum Computing: การลงทุนใน OpenAI และการมุ่งเน้นพัฒนา Quantum Compางระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง และวางตำแหน่งให้ Microsoft เป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้ของ Microsoft ในปี 2025 จะอยู่ที่ประมาณ 278.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า และกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น 11% เป็น 13.21 ดอลลาร์สหรัฐ
Source : Alphastreet
3. Alphabet (Google)
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Alphabet รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024 ด้วย รายได้รวม 88.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 15% YoY ด้าน กำไรสุทธิอยู่ที่ 19.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 13% YoY และสูงกว่าคาดการณ์ตลาด
ประเด็นสำคัญในไตรมาส 3 มีดังนี้:
• ธุรกิจ Search และ YouTube: ยังคงสร้างรายได้ที่มั่นคง โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของผู้ใช้งานและการปรับปรุงบริการโฆษณาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย
• Google Cloud: เติบโต 35% YoY สะท้อนถึงความต้องการที่สูงจากองค์กรที่ลงทุนในเทคโนโลยีคลาวด์และ AI เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
• ธุรกิจโฆษณา: ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการปรับปรุงอัลกอริธึม AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและการใช้งบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวโน้มระยะข้างหน้า: ในปี 2025 Alphabet คาดการณ์การเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายด้าน โดยมี
ปัจจัยสำคัญดังนี้:
• Google Cloud: คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการขยายตลาดในกลุ่มองค์กรและการนำเสนอบริการใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า
• การเปิดตัว Gemini: การเปิดตัว Gemini ซึ่งเป็น AI Chatbot ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะผู้นำด้าน AI และคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มเติมจากบริการที่เกี่ยวข้อง
• การขยายแพลตฟอร์ม Generative AI: Alphabet วางแผนขยายการใช้ Generative AI เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในคอนเทนต์และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ให้ข้อมูลการคาดการณ์รายได้หรือกำไรในเชิงตัวเลขสำหรับปี 2025
Source : Alphastreet
4. Meta Platforms
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Meta Platforms รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024 โดยมีรายได้รวม 40.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิอยู่ที่ 15.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% YoY สูงกว่าคาดการณ์ของตลาด
ประเด็นสำคัญในไตรมาสนี้:
• ธุรกิจโฆษณาดิจิทัล: ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากการพัฒนาฟีเจอร์ AI ใหม่ใน Reels ซึ่งเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram
• จำนวนผู้ใช้งาน: ผู้ใช้งานรายวัน (Daily Active People) บนแพลตฟอร์มอยู่ที่ 3.29 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาด
• การลงทุนใน Metaverse: โครงการ Metaverse ยังคงอยู่ในช่วงการลงทุนหนัก โดยหน่วยงาน Reality Labs ขาดทุน 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสนี้ แต่บริษัทมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างโอกาสในอนาคต
แนวโน้มระยะข้างหน้า: ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 Meta Platforms คาดการณ์รายได้รวมอยู่ระหว่าง 45,000 ถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโฆษณาแบบไดนามิก เพื่อช่วยให้ลูกค้าธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การเปิดตัวฮาร์ดแวร์ VR รุ่นใหม่ เช่น Quest 3 คาดว่าจะส่งผลบวกต่อรายได้ในไตรมาสถัดไป Meta ยังมองว่าความร่วมมือระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ ใน Metaverse จะเป็น
ปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตในอนาคต
Source : Alphastreet
5. Amazon
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Amazon รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2024 โดยมีรายได้รวม 158.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิอยู่ที่ 15.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 55% YoY สูงกว่าคาดการณ์ของตลาด
ประเด็นสำคัญในไตรมาสนี้:
• Amazon Web Services (AWS): รายได้จาก AWS เติบโต 19% YoY เป็น 27.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของบริษัท
• ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ: เริ่มฟื้นตัวหลังจากการลงทุนในเทคโนโลยีโลจิสติกส์และการขยายบริการ Prime โดยยอดขายในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 9% YoY เป็น 95.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
• ธุรกิจโฆษณาดิจิทัล: เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น 26% YoY เป็น 14.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แนวโน้มระยะข้างหน้า: ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 Amazon คาดการณ์รายได้สุทธิระหว่าง 181.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 188.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตประมาณ 7% ถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า บริษัทคาดว่า Amazon Web Services (AWS) จะยังคงเติบโตจากความต้องการด้าน AI และคลาวด์ในกลุ่มองค์กร นอกจากนี้ การขยายบริการ Amazon Prime และเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี เช่น Black Friday และ Prime Day คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มอีคอมเมิร์ซ
สำหรับปี 2025 Amazon ยังไม่ได้เปิดเผยการคาดการณ์รายได้หรือกำไรสุทธิอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายธุรกิจในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง การโฆษณาดิจิทัล และการเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
Source : Alphastreet
6. Apple
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Apple รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2024 โดยมีรายได้รวม 94.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิอยู่ที่ 14.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 36% YoY เนื่องจากการจ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น
ประเด็นสำคัญในไตรมาสนี้:
• ยอดขาย iPhone: อยู่ที่ 46.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติรายรับสูงสุดสำหรับไตรมาสเดือนกันยายน
• ธุรกิจบริการ (Services): ทำรายได้ 24.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของบริษัท
• ยอดขาย Mac และ iPad: ยอดขาย Mac เพิ่ม 2% YoY อยู่ที่ 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดขาย iPad เพิ่มขึ้น 8% YoY อยู่ที่ 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แนวโน้มระยะข้างหน้า: Apple คาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2025 จะเติบโตในระดับเลขหลักเดียวต่ำถึงกลาง (low to mid single digits) ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.65% แม้ว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น iPhone 16, Apple Watch Series 10 และ AirPods 4 จช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลปลายปี แต่การเปิดตัวฟีเจอร์ Apple Intelligence บางส่วนที่ล่าช้าอาจส่งผลต่อการตัดสินใจอัปเกรดของผู้บริโภค นอกจากนี้ ยอดขายในประเทศจีนที่ลดลงเล็กน้อยยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
Source : Alphastreet
7. Nvidia
สรุปภาพรวมงบไตรมาส 3:
Nvidia รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2024 โดยมีรายได้รวม 35.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิอยู่ที่ 19.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 109% YoY สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ประเด็นสำคัญในไตรมาสนี้:
• ธุรกิจ Data Center: มีรายได้ 30.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
• อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin): อยู่ที่ 75% เพิ่มขึ้นจาก 70.1% ในไตรมาสก่อนหน้า แสดงถึงประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนและการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์
• การเปิดตัวชิป Blackwell: Nvidia ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ "Blackwell" ซึ่งคาดว่าจะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาด AI และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรม
แนวโน้มระยะข้างหน้า: Nvidia คาดการณ์รายได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ที่ 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 36.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ "Blackwell" คาดว่าจะได้รับความต้องการสูงจากตลาด โดยนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley คาดการณ์ว่าชิป Blackwell จะสร้างรายได้ระหว่าง 5 ถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ Nvidia ยังขยายตลาดไปยังการค้นคว้ายา หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ และโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับประเทศ (Sovereign AI) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรม
ภาพรวมมุมมองการลงทุนของหุ้นกลุ่ม Magnificent 7
ชะลอตัวลงบ้างของหุ้นบางตัวในกลุ่มนี้ ประกอบกับราคาของหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างอยู่ในระดับสูง แม้การเติบโตของกำไรจะยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นต่อไปได้ แต่ถ้าในอนาคตงบของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ออกมาต่ำกว่าคาด อาจจะทำให้ราคามีความผันผวนในเชิงลบมากขึ้น เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนมีความคาดหวังในการเติบโตของกำไรที่สูง ดังนั้นเรามองว่า ถ้านักลงทุนสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ให้ลงทุนในกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่มีการกระจายการลงทุนที่หลากหลายไม่กระจุกตัวในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูง พร้อมมีผลการดำเนินการย้อนหลังที่เติบโตโดดเด่นกว่าดัชนีหุ้นโลกในระยะยาว อย่างกองทุน K-GTECH ข้อมูลเพิ่มเติม:
https://www.kasikornbank.com/th/kwealth/Pages/a578-t3-hyb-update-kgtech-kgth.aspx
ภาพมุมมองการลงทุนในระยะข้างหน้า
ภาพรวมตลาดการลงทุนในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวนจากหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน ทั้งเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงในการชะลอตัว การประกาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงและชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงดำเนินอยู่ ดังนั้น สำหรับ Core Port เราจึงแนะนำให้เน้นลงทุนในกองทุนที่มีความมั่นคงและสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดี ในทุกสภาวะตลาด เช่น กองทุน WEALTHPLUS Series พร้อมทั้งมองหาโอกาสลงทุนใน Satellite เพื่อเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน ในสินทรัพย์สอดคล้องกับสภาพตลาดในขณะนั้น ตามคำแนะนำของ K WEALTH เช่น กองทุนพื้นฐานแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน อย่างกองทุน K-GHEALTH และ K-GINFRA ศึกษาการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=I7wfEqqJP_A&t=7s