แม้การลงทุนกองทุนรวมจะเป็นเรื่องง่าย แต่ยังมีเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด โดยเฉพาะมือใหม่ บทความนี้จะช่วยให้เข้าใจกองทุนรวมมากยิ่งขึ้น

3 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนรวม

แม้การลงทุนกองทุนรวมจะเป็นเรื่องง่าย แต่ยังมีเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด โดยเฉพาะมือใหม่ บทความนี้จะช่วยให้เข้าใจกองทุนรวมมากยิ่งขึ้น

กดฟัง
หยุด
  • กองทุนรวม เครื่องมือการลงทุนที่ง่าย เหมาะกับมือใหม่และคนไม่มีเวลา หากเข้าใจถูกต้องและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เงินเติบโตงอกเงยได้
  • แนะนำลงทุนกองทุนรวมให้เหมาะกับความเสี่ยงและระยะเวลาในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสมและกองทุนหุ้น

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ กองทุนรวมถือเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ง่ายและเหมาะกับคนเพิ่งเริ่มต้นลงทุน เพราะไม่ต้องเลือกสินทรัพย์ลงทุนเอง แค่เลือกนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมตามความต้องการลงทุน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อยที่อาจทำให้ตัดสินใจเลือกกองทุนรวมผิดพลาดได้ แล้วเรื่องที่มักเข้าใจผิดมีอะไรบ้าง ความเข้าใจที่ถูกนั้นคืออะไร บทความนี้จะช่วยให้เข้าใจกองทุนรวมมากขึ้น


กองทุนรวมคืออะไร?

กองทุนรวม คือการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายคนเพื่อนำไปลงทุนตามนโยบายที่กำหนด โดยมี ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ บริหารจัดการแทนผู้ลงทุน ผู้จัดการกองทุนต้องได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และมีหน้าที่วิเคราะห์ตลาด เลือกสินทรัพย์ กระจายความเสี่ยง และปรับพอร์ตเพื่อสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย


กองทุนรวมมีหลายประเภท เช่น


  • กองทุนตราสารหนี้ (ความเสี่ยงต่ำ)
  • กองทุนผสม (ความเสี่ยงปานกลาง)
  • กองทุนหุ้น (ความเสี่ยงสูง)
  • กองทุนสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ น้ำมัน หรืออสังหาริมทรัพย์

ผู้ลงทุนควรเลือกกองทุนให้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้



ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนรวม

นักลงทุนมือใหม่ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนรวม โดยเรื่องที่มักเข้าใจผิดมีอยู่ 3 เรื่องหลักๆ ได้แก่

  1. ราคาหน่วยลงทุนต่ำๆ แปลว่าถูก น่าซื้อเสมอ

    บางคนเวลาซื้อของมักจะดูที่ราคาเป็นเหตุผลหลักประกอบการตัดสินใจ พอเห็นราคาต่ำๆ จึงคิดว่าถูก น่าซื้อเสมอ เช่น กองทุน A ราคาหน่วยลงทุนอยู่ที่ 8 บาท เลยบอกว่าถูกกว่ากองทุน B ที่ราคาหน่วยลงทุนอยู่ที่ 15 บาท ถ้าซื้อกองทุน A แล้วจะได้จำนวนหน่วยลงทุนมากกว่ากองทุน B จึงมองว่าน่าซื้อ น่าลงทุนมากกว่า แต่แท้จริงแล้วการซื้อกองทุน ราคาหน่วยลงทุนที่เห็นไม่ได้บอกว่ากองทุนนี้ถูกหรือแพง ราคาหน่วยลงทุนต่ำๆ จึงไม่ได้แปลว่าถูก หรือน่าซื้อเสมอไป เนื่องจากสาเหตุที่ราคาหน่วยลงทุนของแต่ละกองทุนแตกต่างกันนั้นมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องช่วงเวลาจัดตั้งกองทุนซึ่งกองทุนที่เสนอขายครั้งแรกมักตั้งราคาไว้ที่ 10 บาทต่อหน่วย นโยบายการจ่ายเงินปันผลซึ่งกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล หลังการจ่ายปันผลจะทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวลดลง การเลือกหลักทรัพย์และการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนซึ่งเมื่อราคาหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อมูลค่าหน่วยลงทุน


    ดังนั้น ราคาหน่วยลงทุนต่ำๆ ไม่ได้แปลว่าถูก น่าซื้อเสมอไป และราคาหน่วยลงทุนสูงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าแพง ไม่น่าซื้อแล้ว ควรพิจารณาเหตุผลอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจเลือกกองทุน


  2. กองทุนเสี่ยงต่ำไม่มีโอกาสที่ผลตอบแทนจะติดลบ

    แม้กองทุนที่เราเลือกลงทุนจะมีความเสี่ยงต่ำ มีความผันผวนน้อย เช่น กองทุนตราสารหนี้ โอกาสที่ผลตอบแทนจะติดลบมีน้อยมาก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตราสารหนี้ที่ออกใหม่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ตราสารหนี้เดิมที่ผู้ลงทุนถืออยู่มีความน่าสนใจลดลง ราคาตราสารหนี้จึงปรับตัวลดลง ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนลดลงและมีโอกาสขาดทุนได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าหน่วยลงทุนก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นและกลับมากำไรได้เหมือนเดิม ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงินจึงไม่ได้การันตีผลตอบแทนหรือรับประกันเงินต้น


    ดังนั้น กองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำจึงมีโอกาสติดลบหรือขาดทุนได้เมื่อสถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงไป แม้โอกาสจะเกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม


  3. ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนสามารถใช้อ้างอิงผลตอบแทนในอนาคตได้

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนตัดสินใจเลือกกองทุน หลายคนมักจะดูที่ผลตอบแทนย้อนหลังเพื่อเช็กว่ากองทุนนั้นๆ ทำผลตอบแทนได้ดีหรือไม่ แล้วคิดว่าผลตอบแทนในอนาคตจะเหมือนหรือใกล้เคียงกับผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะผลตอบแทนในอดีตสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วภายใต้สภาพตลาดในอดีตที่แตกต่างจากสภาพตลาดในปัจจุบันและอนาคต


    ดังนั้น ต้องไม่ลืมว่าผลตอบแทนในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้ยืนยันว่าผลตอบแทนในอนาคตจะเป็นเช่นนั้น ผู้ลงทุนควรวิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปว่าราคาสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนนั้นมีแนวโน้มเติบโต ทำให้กองทุนมีผลตอบแทนที่ดีหรือไม่


    ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการลงทุนกองทุนรวม ได้แก่ ความเสี่ยงที่รับได้ จุดประสงค์ในการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน นโยบายการลงทุน เงื่อนไขการลงทุน ความสามารถของผู้จัดการกองทุน รวมถึงการเติบโตของมูลค่าหน่วยลงทุน


กองทุนรวมแนะนำตามระดับความเสี่ยง

ความเสี่ยงต่ำ

แนะนำกองทุนตราสารหนี้ ที่นำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้อย่างพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน เช่น


  • กองทุน K-SFPLUS-A ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน และเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแนะนำลงทุน 6 เดือนขึ้นไป
  • กองทุน K-FIXEDPLUS-A ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน และเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป

ความเสี่ยงปานกลาง

แนะนำกองทุนผสม ที่นำเงินไปลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น

  • กองทุน K-WPBALANCED ลงทุนในหุ้นประมาณ 30% และตราสารหนี้ประมาณ 70%
  • กองทุน K-WPSPEEDUP ลงทุนในหุ้นประมาณ 65% และตราสารหนี้ประมาณ 35%
  • กองทุน K-WPULTIMATE ลงทุนในหุ้นประมาณ 85% และตราสารหนี้ประมาณ 15%

ความเสี่ยงสูง

แนะนำกองทุนหุ้น ที่นำเงินไปลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยหรือหุ้นต่างประเทศ เช่น

  • กองทุน K-CHINA-A(A) ลงทุนในกองทุน JPMorgan Funds - China Fund, Class JPM China I (acc) – USD ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ตั้งถิ่นฐานหรือดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงอาจลงทุนในหุ้นจีน A-shares
  • กองทุน K-GHEALTH ลงทุนในกองทุน JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund, Class A (acc) - USD ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจดูแลสุขภาพทั่วโลก

กองทุนรวมยังคงเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีและเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพราะมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารจัดการเงินลงทุนให้ และเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนน้อย เพียง 500 บาท ก็สามารถลงทุนได้ แถมยังลงทุนง่ายผ่าน K PLUS หากนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจ เลือกลงทุนกองทุนรวมที่เหมาะกับตัวเองและมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและช่วยให้เงินลงทุนเติบโตได้อย่างมั่นคง


หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SFPLUS-A, K-FIXEDPLUS-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
    • K-WPULTIMATE, K-CHINA-A(A), K-GHEALTH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-CHINA-A(A), K-GHEALTH: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-FIXEDPLUS-A: T+2
    • K-CHINA-A(A), K-GHEALTH: T+4
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE: T+6

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, SET Investnow