-
หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ดัชนี S&P 500 ภาพรวมเป็นแนวโน้มขาขึ้นแต่ก็ผันผวนตลอดทาง โดยดัชนีปรับตัวลดลงหนักๆ เกิน 20% มี 2 ช่วงคือวิกฤต Covid-19 ในปี 2020 และวิกฤตเงินเฟ้อ ปี 2022 หากเราลองสังเกตจากภาพที่ 1 ซึ่งจัดทำโดย JPMorgan จะเห็นว่า แม้นักลงทุนเข้าซื้อ ณ ยอดดอยต้นปี 2020 หรือต้นปี 2022 แต่หากถือลงทุนมีถึงทุกวันนี้ปี 2025 ก็จะกลับมามีกำไร ทั้งๆ ที่มูลค่าหุ้นที่สะท้อนผ่าน P/E Ratio แพงขึ้นตลอด
-
แต่การใช้สถิติในช่วงสั้นๆ ประกอบการลงทุนควรใช้ด้วยความระมัดระวัง หากเราย้อนไปไกลกว่านั้นช่วงเกิดฟองสบู่ Dot Com แตกปี 2000 และช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 หากนักลงทุนเข้าซื้อบนยอดดอย จะใช้เวลา 7-8 ปี กว่าจะกลับมามีกำไรอีกครั้ง! นักลงทุนจึงควรมีการทยอยหาจังหวะในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ ไม่ควรนำเงินลงทุนส่วนใหญ่ลงทั้งหมด ควรแบ่งไม้เข้าลงทุนในวันที่ตลาดปรับตัวลดลง หรือทำการ DCA แบบมีวินัย K WEALTH มองว่าจะเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนได้ดีกว่า
ภาพที่ 1 การเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่ปี 1997
ที่มา Guide to the Markets by JPMorgan Asset Management ข้อมูล ณ 24 ก.ย. 2568
การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เสมือนซื้อของพรีเมียมที่ราคาแพงแบบมีเหตุผล
จากภาพที่ 2 ซึ่งจัดทำโดย JPMorgan เช่นกัน ภาพด้านซ้ายชี้ให้เห็นว่าหุ้นสหรัฐๆ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 15 ปีดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนก็มากกว่าประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกัน ขณะที่ภาพด้านขวาก็สอดคล้องกัน คือ แม้มูลค่าหุ้นในเชิง P/B Ratio ย้อนหลัง 1 ปี แพงแบบโดดจากประเทศอื่นๆ แต่ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสหรัฐฯ ก็สูงกว่าประเทศอื่นๆ
การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เสมือนซื้อของพรีเมียมที่ราคาแพงแบบมีเหตุผล

ที่มา JPMorgan Asset Management ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2568
ทางเลือกลงทุนที่คุ้มค่าในช่วงเงินบาทแข็งค่า
- อีกหนึ่งหัวใจของการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเรื่องค่าเงิน เนื่องจากส่งผลต่อผลตอบแทนสุทธิที่นักลงทุนจะได้รับอย่างแน่นอน หากนักลงทุนเลือกกองทุนแบบป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged) ก็จะมาพร้อมต้นทุนแฝงที่ต้องจ่าย หรือหากเลือกกองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ช่วงบาทอ่อนก็จะได้กำไรเพิ่มเติม ขณะที่ช่วงบาทแข็งกำไรหุ้นต่างประเทศที่ได้ก็จะลดลง นักลงทุนสามารถศึกษาเรื่องค่าเงินเพิ่มเติมตามลิงก์นี้ได้เลย
https://www.kasikornbank.com/th/kwealth/Pages/a957-t3-hyb-why-should-not-hedge-if-invest-long-term-kgth.aspx
- ล่าสุด บลจ.กสิกรไทย ประทับใจไปได้อีก นำเสนอ 2 กองทุนเป็นทางเลือกให้กับทั้งมือเก๋าและมือใหม่เพื่อลงทุนแบบ Passive ล้อไปกับดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวดังที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งก็คือกองทุน K-US500XUH ที่ลงทุนล้อไปกับดัชนี S&P 500 และกองทุน K-USXNDQUH ที่ลงทุนล้อไปกับดัชนี Nasdaq 100 ทั้ง 2 กองทุนเป็นกองทุน Unhedged ซึ่งปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ราว 32.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในอดีต แถวๆ 33 บาท หมายความว่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าได้ในอนาคต เหมาะสำหรับใครที่จะเริ่มลงทุนตอนนี้ แต่แนะนำว่าให้แบ่งไม้เข้าลงทุน หรือ DCA ทุกๆ เดือนหรือทุกๆ 3 เดือน จะช่วยลดโอกาสขาดทุนหนักๆ ลงได้ครับ
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงก์นี้ได้เลย
https://www.kasikornbank.com/th/personal/digital-banking/pages/kplus-investment.aspx
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: JPMorgan Asset Management , บลจ.กสิกรไทย