-
หากยังมีรายได้ต้องเสียภาษีอยู่ ฐานภาษีมากกว่า 15% ขึ้นไป และสามารถลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปได้ ควรพิจารณาซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีในปีนี้
-
แนะนำลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีที่มีนโยบายการลงทุนตรงตามที่ต้องการและเหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ โดยกองทุน RMF แนะนำ ได้แก่ กองทุน K-SFRMF, K-WPBALRMF, K-USARMF ส่วนกองทุน Thai ESG แนะนำ ได้แก่ กองทุน K-ESGSI-ThaiESG, K-BL30-ThaiESG, K-TNZ-ThaiESG
ใครที่เคยลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีน่าจะเคยเจอโมเมนต์ที่เปิดแอปฯ เช็กพอร์ตแล้วเห็นตัวแดง กองทุนที่ถือมาขาดทุน บางคนอาจเริ่มคิดว่าแบบนี้ยังควรซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีต่อไปอยู่ไหม ซื้อแล้วคุ้มแค่ไหน จริงๆ แล้วเวลาเราลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ได้มีแค่ผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเดียว แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไป นั่นคือ ผลประโยชน์ทางภาษีที่เราได้รับทันทีตั้งแต่ตอนซื้อ
เข้าใจวัตถุประสงค์ของกองทุนลดหย่อนภาษี
เริ่มจากการทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของกองทุนลดหย่อนภาษีกันก่อน ซึ่งมี 2 วัตถุประสงค์หลักๆ คือ
-
ลดภาระภาษีทันที เมื่อซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีจะได้ผลประโยชน์ทางภาษีแบบแน่นอน ลดภาษีได้ทันที แต่จะประหยัดภาษีได้เท่าไรก็ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละคน โดยฐานภาษียิ่งสูง ก็ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก
-
โอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนจากการลงทุนในส่วนนี้ไม่แน่นอน เมื่อเวลาผ่านไปผลตอบแทนที่ได้อาจเป็นบวกหรือลบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สถานการณ์ตลาด การบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุน
ปัญหาคือ เมื่อเราให้ความสำคัญแค่เรื่องผลตอบแทน แล้วลืมรวมผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไป เลยสรุปว่าขาดทุน ทั้งที่จริงแล้วอาจยังกำไรอยู่ก็ได้
เทียบผลประโยชน์ทางภาษี กับ ผลขาดทุน
เมื่อเห็นว่ากองทุนลดหย่อนภาษีที่ถือมาขาดทุน อยากให้ลองเทียบผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับ กับ ผลขาดทุน ก่อนเพื่อดูว่าเราขาดทุนจริงหรือไม่ ถ้าภาษีที่ประหยัดได้มากกว่าผลขาดทุน ถือว่ากำไร แต่ถ้าภาษีที่ประหยัดได้น้อยกว่าผลขาดทุน ถือว่าขาดทุน เช่น
มีรายได้ในฐานภาษี 20%
ซื้อกองทุน RMF จำนวน 100,000 บาท
สิ่งที่ได้ทันทีคือ ประหยัดภาษี = 20,000 บาท
ต่อมา กองทุนติดลบ 10% เหลือมูลค่า 90,000 บาท
ถ้าดูเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนคือ ขาดทุน 10,000 บาท แต่ถ้าบวกผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไป = 90,000 + 20,000 = 110,000 บาท จะเห็นว่าจริงๆ แล้วมีกำไรสุทธิ 10,000 บาท หรือ +10% เมื่อเทียบกับเงินต้น 100,000 บาท
แนวทางการตัดสินใจ
สำหรับแนวทางในการตัดสินใจว่าควรซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีอยู่ไหม อยากให้พิจารณาจาก 3 คำถามนี้
- ยังมีรายได้ต้องเสียภาษีอยู่หรือไม่ หากยังมีรายได้ต้องเสียภาษีอยู่ การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดภาระภาษีลงได้ โดยเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีที่มีนโยบายการลงทุนตรงตามที่ต้องการและเหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้
- ฐานภาษีมากกว่า 15% ขึ้นไปหรือไม่ คนที่มีรายได้สูง ฐานภาษีมากกว่า 15% ขึ้นไป การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุนจะช่วยประหยัดภาษีไปได้มากและคุ้มค่ากับการลงทุน
- สามารถลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือไม่ คนที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนเร็วๆ นี้ สามารถลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปได้ ก็เหมาะกับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุน และที่สำคัญ การลงทุนระยะยาวยังช่วยลดความผันผวนลงได้
กองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำ
สำหรับคนที่กำลังมองหากองทุนลดหย่อนภาษีที่น่าสนใจในปีนี้ ขอแนะนำ
กองทุน RMF
-
กองทุนตราสารหนี้ แนะนำ
- กองทุน K-SFRMF ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งภาครัฐและเอกชน
- กองทุน K-GDBONDRMF ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนในหลายภาคส่วนทั่วโลก
-
กองทุนผสม แนะนำ
- กองทุน K-WPBALRMF ลงทุนในหุ้นประมาณ 30% และตราสารหนี้ประมาณ 70%
- กองทุน K-WPSPEEDRMF ลงทุนในหุ้นประมาณ 65% และตราสารหนี้ประมาณ 35%
- กองทุน K-WPULTIRMF ลงทุนในหุ้นประมาณ 85% และตราสารหนี้ประมาณ 15%
-
กองทุนหุ้น แนะนำ
- กองทุน K-USARMF ลงทุนในกองทุน Brown Advisory US Sustainable Growth Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐอเมริกาที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีรูปแบบธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
- กองทุน K-GSELECTRMF ลงทุนในกองทุน JPMorgan Global Select Equity ETF ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก
กองทุน Thai ESG
-
กองทุนตราสารหนี้ แนะนำ
- กองทุน K-ESGSI-ThaiESG ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐเพื่อความยั่งยืนอย่างพันธบัตรรัฐบาลไม่น้อยกว่า 80% ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้อื่น เช่น เงินฝาก หุ้นกู้
-
กองทุนผสม แนะนำ
- กองทุน K-BL30-ThaiESG ลงทุนในหุ้นเพื่อความยั่งยืนไม่เกิน 30% โดยเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มี SET ESG Rating อยู่ในระดับ AAA มากกว่า 50% ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะดัชนีชี้วัดได้ในระยะยาว ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้
-
กองทุนหุ้น แนะนำ
- กองทุน K-TNZ-ThaiESG ลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบ SET100 TRI และเป็นบริษัทที่มีเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กองทุนลดหย่อนภาษีเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวางแผนภาษีที่จะช่วยลดภาระภาษีในแต่ละปีและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว ทั้งนี้ ควรวางแผนลดหย่อนภาษีโดยคำนึงถึงเป้าหมายทางการเงินควบคู่กันไป เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตและมีความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
หมายเหตุ:
-
ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-ESGSI-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 3
- K-SFRMF: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-GDBONDRMF, K-WPBALRMF, K-WPSPEEDRMF, K-BL30-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-WPULTIRMF, K-USARMF, K-GSELECTRMF, K-TNZ-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
-
นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-ESGSI-ThaiESG, K-BL30-ThaiESG: ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
- K-GDBONDRMF, K-WPBALRMF, K-WPSPEEDRMF, K-WPULTIRMF, K-USARMF, K-GSELECTRMF: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
-
ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFRMF: T+1
- K-GDBONDRMF, K-ESGSI-ThaiESG, K-BL30-ThaiESG, K-TNZ-ThaiESG: T+2
- K-GSELECTRMF: T+3
- K-USARMF: T+4
- K-WPBALRMF, K-WPSPEEDRMF, K-WPULTIRMF: T+5
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย