อีกหนึ่งเทคนิคการลงทุนสำหรับคนที่ไม่มีเวลาคือ การหาธีมลงทุนตาม Megatrend ซึ่งคืออะไร แล้วการหา Megatrend ได้ยังไง และจะช่วยให้การลงทุนง่ายขึ้นได้อย่างไร K WEALTH สรุปไว้ให้ที่นี่แล้ว
ธีมการลงทุนแปลว่าอะไร ทำไมนักลงทุนต้องหาธีมการลงทุนให้เจอ?
เวลาลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น เราคงไม่อยากลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในขาลง ทุกคนคงอยากลงทุนในบริษัท หรือว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงของการเติบโต เพราะฉะนั้นหากเราหาธีมการลงทุนที่เกาะไปกับเทรนด์ได้เจอ ก็คือโอกาสที่เราสามารถหวังผลการทำกำไรที่เติบโตได้
การมองหาธีมการลงทุนที่อยู่ใน Megatrend พิเศษ หรือเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าปกติอย่างไร?
Megatrend เป็นเทรนด์ที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต หรือการทำงาน ซึ่งจะเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างยาวมากกว่า 20 ปี ฉะนั้นถ้าเราลงทุนเกาะไปกับ Megatrend นั่นหมายถึงเราสามารถคาดหวังการลงทุนของเราให้เติบโตได้ในระยะยาว
มี Megatrend อะไรที่เคยเกิดขึ้น แล้วเจอธีมการลงทุนอะไรใน Megatrend นี้บ้าง?
Internet เป็นที่รู้จักกันดีในปี 1995 แต่กว่าจะมาเป็น Megatrend จริงๆ คือในปี 2010 ซึ่งตอนเป็น Megatrend หุ้นที่ได้รับประโยชน์ เช่น Facebook, Apple หุ้นเหล่านี้ เป็นหุ้นที่เกาะไปกับ Megatrend Internet
การเติบโตของหุ้นในบริษัทเหล่านี้เกิดจากเพราะคนเข้าสามารถถึง Internet ได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คนใช้ Facebook ปี 2010 มีอยู่ 200 ล้านคน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านคน การที่ Facebook มีคนใช้เยอะขึ้นอย่างชัดเจนทำให้กำไรชองบริษัท Facebook เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเกิดกำไรเติบโตต่อเนื่องก็สะท้อนไปที่ราคาหุ้น ดูราคาหุ้นของ Facebook ย้อนหลัง 10 ปี โตขึ้นมาเกือบปีละ 22% เทียบหับหุ้นโลกทั่วไปที่ 10 ปีย้อนหลังเติบโตเพียง 10% เท่านั้น
จะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรที่จะเป็น Megatrend ในอนาคตบ้าง?
การหา Megatrend คือการสังเกตรอบตัวเราว่าการทำงาน หรือการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปจากอดีตอย่างไรบ้าง สิ่งที่เห็นชัดๆ ในอดีตสมมุติได้การบ้านหรือได้งานหนึ่งมาที่เกี่ยวกับการเขียนบทความ เราจะเริ่มด้วยการเปิด Microsoft Word หรือว่าเปิดหาข้อมูลจาก Internet แต่เดี๋ยวนี้พอได้งานมากลายเป็นว่าเอาหัวข้อไปใส่ ChatGPT ก่อน ซึ่ง ChatGPT คือ Generative AI ซึ่งรวบรวม Data ไว้ค่อนข้างเยอะ เราใส่อะไรไป ก็จะให้ข้อมูลได้เลย ช่วยเหลือในการเขียนบทความได้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งสิ่งนี้คือเทรนด์ ของ AI
ต่อมานอกจากจะสังเกตจากการทำงาน เวลาไปท่องเที่ยวสามารถสังเกต Megatrend ได้เช่นเดียวกัน ล่าสุดไปเที่ยวญี่ปุ่นนั่งนับดูว่าเจอประชากรญี่ปุ่นจำนวน 10 คน เป็นผู้สูงอายุถึง 3-4 คน เทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนที่ไปตอนยังเป็นวัยรุ่น ใน 10 คนเราจะเจอผู้สูงอายุเพียง 1-2 คนเท่านั้น อันนี้ก็เป็นตัวสะท้อนว่าโลกเข้าสู่ Aging Society ที่เป็นอีก Megatrend หนึ่ง
อีกวิธีที่ช่วยเราหา Megatrend ได้คือการอ่าน Research เช่น มี Research หนึ่ง เค้าพูดถึงเรื่อง Pet Economy ซึ่งเป็นหนึ่งใน Megatrend ที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงโตขึ้นปีละ 5% เหตุผลที่โตขึ้นเพราะสังคมใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น คนโสดมากขึ้น จำนวนประชากรเกิดใหม่น้อยลง ซึ่งมันสวนทางกับจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น แปลว่าคนเราไม่มีลูก แต่จะเลี้ยงสัตว์แทน
อีกปัจจัยที่สนับสนุน Pet Economy คือตอนโควิดมี Research ออกมาว่าไปสำรวจคนจำนวนหนึ่งว่าถ้าเค้าต้องตัดรายจ่ายอย่างหนึ่งออกจากการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะช่วงโควิดรายได้ลดลง เค้าจะตัดต่าใช่จ่ายอะไรให้ 5 หมวดนนี้ คือ
1. Entertainment
2.เสื้อผ้า
3.Healthcare
4.อาหาร
5.ค่าใข้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง
ผลสำรวจออกมาว่าคนเลือกที่จะตัดอาหารของตัวเองถึง 19% แต่พอไปเรื่องสัตว์เลี้ยงคนจะเลือกตัดแค่ 3% เท่านั้น แปลว่าร้อยคนเลือกตัดอาหารตัวเอง 19 คน แต่ว่าเลือกตัดอาหารสัตว์เลี้ยงก่อนเป็นอันดับแรกแค่ 3 คนเท่านั้น และเมื่อเราพอเห็นเทรนด์ของ Aging Society หรือ Pet Economy ก็จะสามารถหาธีมการลงทุนที่เข้ากับสิ่งนั้นๆได้
ช่วงนี้ตลาดผันผวนมาก เราสามารถลงทุน Megatrend ได้ตอนนี้เลยไหม?
ลงทุนได้ เพราะความผันผวนในตลาดนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอ ยกตัวอย่างเช่น ตอนปี 2554 ที่ประเทศไทยเจอน้ำท่วมหนักๆ มีหุ้นที่สามารถทำผลตอบแทนได้นั่นก็คือ ซ่อมแซมบ้าน วัสดุก่อสร้าง HomePro ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน แค่ต้องหา เทรนด์ที่สามารถทำกำไรได้ในช่วงที่ตลาดผันผวนให้เจอ ซึ่งในช่วงแต่ละสภาวะของตลาด กลยุทธ์การลงทุนค่อนข้างแตกต่างกันออกไป เช่นในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นยาวๆ อาจจะเน้นไปลงทุนหุ้นที่เติบโตเยอะๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี แต่ในช่วงที่ตลาดผันผวน เช่นปัจจุบันนี้ อาจไปใช้วิธีการแบบ Core Satellite (ทำความเข้าใจ Core Satellite ที่นี่)
ช่วงนี้ K WEALTH มองว่าอะไรที่จะเป็น Megatrend?
1.อันแรกคือ Technology Innovation ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับธีมที่อยู่ใน Megatrend นี้ ธีมแรกคือ Digital Life จะมีตั้งแต่ Online Platform ,E-Commerce Platform ที่เราสามารถสั่งซื้อของออนไลน์ หรือว่าแม้กระทั่ง Learning Platform ที่แต่ก่อนเวลาเราต้องการความรู้อะไรต้องไปเรียนที่สถาบันหรือว่าไปอบรมที่สถาบัน ตอนนี้เราสามารถเรียนผ่านแอพ ผ่านInternet ได้แล้ว
2. Financial Technology เทรนด์นี้จะเห็นว่า แต่ก่อนเราจะต้องพกเงินสดค่อนข้างเยอะเวลาไปไหนมาไหน ตอนนี้ทุกคนแทบไม่ต้องพกเงินสดแล้ว เพราะมีตัวกลางการจ่ายเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวกลางที่เป็น Bank หรือตัวกลางที่ไม่ใช่ Bank
3.Cyber Securities คนไม่ค่อยจะพูดถึง เพราะว่าการมาของเทคโนโลยีหรือการมาของอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้คนเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการทำงานต่างๆ จะเห็นได้ว่าตอนนี้หลายบริษัทยัง Work from home อยู่ด้วยซ้ำ ในเมื่อคนเข้าไปอยู่ในออนไลน์ หรือเอางานเข้าไปอยู่ในออนไลน์มากขึ้นสิ่งที่ตามมาเรียกว่า Cyber Crime คือการโจรกรรมออนไลน์ ทุกคนอาจจะมองภาพไม่ออก แต่ถ้าดูสถิติปีนี้มูลค่าที่เกิดจากความเสียหายของ Cyber Crime สูงถึง 8.5 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่า GDT ทั้งหมดของกลุ่มประเทศอาเซียน
ซึ่ง Cyber Crime จะคล้ายๆกับ แก็งค์คอลเซนเตอร์ แต่ว่ามันจะไม่ได้หยุดแค่นี้ เพราะว่าการโจรกรรมออนไลน์มีตั้งแต่การขโมยข้อมูลของบริษัทใหญ่ๆ ต่างๆ การกดโอนเงินของเราไปให้ใครก็ไม่รู้ หรือว่าแก็งค์คอลเซนเตอร์ก็รวมเป็นหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า มูลค่าของการโจรกรรมออนไลน์ค่อนข้างสูงมาก เลยทำให้สิ่งที่ตามมาคือการพัฒนาของอุตสาหกรรมที่เรียกว่า Cyber Security เช่น การทำแอนตี้ ไวรัส การทำโปรแกรมเพื่อจัดการกับ Cyber Crime ที่ได้กล่าวมา
ถ้าอยากจะลงทุนตาม Megatrend K WEALTH มีกองทุนแนะนำไหม?
มีกองทุนที่ชื่อว่า K-HIT โดยนโยบายการลงทุนของกอง K-HIT จะเลือกธีมประมาณ 5-7 ธีมที่สอดคล้องไปกับ Megatrend อีกทั้ง K-HIT จะมีการสับเปลี่ยนธีม 1-3 ธีมต่อ 1 ปี เพราะฉะนั้นนักลงทุนไม่จำเป็นจะต้องมานั่งหา Megatrend หรือธีมใหม่ๆ เพราะทางผู้จัดการกองทุนของกองจะช่วยจัดสรรนำเข้านำออกให้อยู่แล้ว ด้วยนโยบายการลงทุนแบบนี้ ทำให้ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน K-HIT ทำผลตอบแทนได้ถึง 11.23% ต่อปี รวมถึงได้ Morningstar 5 ดาว
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนนี้ถืออยู่ยกตัวอย่างเช่น Merck ที่เป็นบริษัทยาประวัติยาวนานกว่า 130 ปี ขนาดบริษัทเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ยาที่เราน่าจะคุ้นเคยมีอยู่ 2 ตัว คือ มอร์ฟีน(Morphine) และโมลนูพิราเวียร์(Molnupiravir) ที่ใช้รักษาโรคโควิด หรือหุ้นอีกตัวหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ต่อยได้ยินชื่อคือ Intuitive Surgical บริษัทนี้ทำแขนกลในการผ่าตัด ชื่อ Da Vinci ข้อดีคือทำให้โรงพยาบาลลด Cost ของการผ่าตัดลงไปได้ค่อนข้างเยอะ รวมถึงการธุรกิจเค้ามองว่าตัวแขนกลจะขายทั้งอันเลยอาจจะแพงเกินไป เลยทำธุรกิจเป็นแบบให้เช่ามากกว่าทำให้บริษัทมีรายได้เข้าอย่างต่อเนื่องจากค่าเช่า ซึ่งหุ้นของทั้ง 2 บริษัทนี้ก็ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บวกไปถึง 20% จะเห็นว่าในช่วงที่ตลาดผันผวนเราก็ยังสามารถหาหุ้น หรืออุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนดีได้อยู่