เปิดปี 2020 มาด้วยข่าวดีด้านจ้อตกลงการค้า Phase 1 ระหว่างสหรัฐฯและจีน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาน่ากังวลหลังจากสหรัฐฯและอิหร่านประจันหน้ากัน ตามมาด้วยไวรัสโคโรนาที่ระบาดอย่างรวดเร็ว เรามองภาพเศรษฐกิจโลกปี 2020 จะสดใสขึ้นกว่าปีที่แล้วหลังจากธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมใจกันลดดอกเบี้ยกันถ้วนหน้า ตามธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED แต่กลับต้องมาเจอหลายปัจจัยที่คาดไม่ถึงขึ้น
อย่าง BOT เองเราก็มองว่าจะลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 1 นี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงกว่า 5% จากเหตุการณ์ที่ไวรัสโคโรนาแพร่กระจายในเอเชีย สวนทางกับภาพไทยบาทที่แข็งค่าขึ้นกว่า 9% ในปีที่แล้ว ซึ่งกดดันภาคส่งออกไทยอย่างมาก โดยภาคส่งออกไทยในปี 2019 หดตัวถึง 2.65% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียวต่างจากก่อนหน้านี้ที่มองแค่ว่าอาจจะไม่โต
หากมองย้อนกลับไป กนง.มีมติลดดอกเบี้ยไป 2 ครั้งในปี 2019 ซึ่งหากกนง.ลดดอกเบี้ยลงจากระดับ 1.25% ในปัจจุบันมาอยู่ที่ 1.00% จะถือว่าเป็นระดับดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โดยปัจจัยที่หนุนการลดดอกเบี้ยมี 3 ข้อ ดังนี้
- เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯและจีนที่แม้ว่าจะยกเลิกหรือลดลงไปแล้วบางส่วน แต่กว่า 2 ใน 3 ของภาษีนำเข้าก็ยังคงอยู่ และดูเหมือนว่าจะคงอยู่อย่างนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาก็อาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว และค้าปลีกซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของไทย อีกทั้งตัวขับเคลื่อนอื่นที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาคือ การบริโภคภาคเอกชนที่คอยเกื้อหนุนอยู่เริ่มมีสัญญาณหดตัวแล้ว กลับกลายเป็นว่าต้องพึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐที่เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว เพราะปัจจัยอื่น ๆ ล้วนเป็นปัจจัยภายนอก และนอกเหนือจากการควบคุม
- เหตุผลเดียวที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ดังที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นคือการใช้จ่ายจากทางภาครัฐ แต่เนื่องจากพรบ.งบประมาณมีการอนุมัติล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้การเบิกจ่ายจริงในไตรมาส 1 น้อย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นดูเหมือนว่าจะต้องมีการเลื่อนออกไปอีก หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2563 ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง จากคำร้องที่มีการเสียบบัตรแทนกัน
- อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และต่ำกว่า 1% ซึ่งแนวโน้มจะยังคงอยู่ในระดับต่ำอีกต่อไป ทั้งนี้โอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้นั้นค่อนข้างเป็นไปได้ต่ำ เพราะราคาน้ำมันคาดว่าจะถูกกดดันจากไวรัสโคโรน่าที่กระทบต่อการเดินทาง และ Demand กับ Supply ที่อยู่ในระดับเหมาะสม
นอกเหนือจากปัจจัยดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีสัญญาณหลายอย่างที่ได้บ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมกนง. วันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ เช่น ก่อนหน้านี้มีการประกาศใช้เกณฑ์อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ที่เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเก็งกำไรของอสังหาริมทรัพย์สำหรับสัญญาที่ 2 แต่ทาง ธปท. ได้มีการผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี และ 5 ปี ของไทยที่ปรับลงแรงประมาณ 0.2% มาอยู่ที่ 1.09% และ 1.21% ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงตลาดมีมุมมองว่าการประชุมครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.00% ลงมาต่ำที่สุดในประวัติการณ์
ประจำวันที่ 31 มกราคม 2563