เมื่อสัปดาห์ที่แล้วท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่อัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นรายวันเริ่มชะลอตัวลง บวกกับข่าวดีจากผลวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 ของบริษัท Gilead Sciences ที่ระบุว่ายา Remdisivir ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยผู้ป่วยที่ได้รับยากว่า 50% มีอาการดีขึ้นภายใน 5 วัน และผู้ป่วย 62% สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 2 สัปดาห์ จนทำให้บริษัท Gilead Sciences ได้รับการอนุมัติฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA เพื่อให้มีการผลิตและใช้ยากับผู้ป่วยอย่างเร่งด่วนที่สุด นอกจากนี้ FDA ยังให้การอนุมัติฉุกเฉินกับบริษัท Roche เพื่อผลิตชุดตรวจเชื้อภูมิต้านทานที่มีความแม่นยำสูงอีกด้วย
โดยรวมส่งผลให้ตลาดทุนคลายความกังวลรีบาวด์กลับมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Health Care โลกที่ปรับตัวลง 1.2% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เทียบกับหุ้นโลกที่ปรับตัวลงแรงถึง 14.7% (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2020) เพราะ ได้รับอานิสงค์จากความหวังเรื่องการคิดค้นยา และวัคซีนต้านโรคโควิด 19 นอกจากนี้ หากพิจารณาผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2020 ที่ประกาศออกมา กลุ่ม Health Care ยังมีรายได้ และกำไรที่เติบโตเหนือความคาดหวังของตลาดที่ 3.1% และ 9.5% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2020) ตอกย้ำความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่ม Health care ที่ถูกมองว่าเป็นหุ้น Defensive ซึ่งจะถูกกดดันน้อย และมีความผันผวนต่ำ เพราะ มีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ ไม่แปรผันตามสภาวะเศรษฐกิจ สวนทางกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆอย่างภาคธนาคารที่จำเป็นต้องกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมอันเกิดจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ทำให้กำไรลดลง ขณะที่กำไรสุทธิกลุ่มธุรกิจภาคพลังงานก็ได้รับแรงกดดันหนักจากราคาน้ำมันที่ผันผวน และปรับตัวลงแตะ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนของผู้ประกอบการน้ำมันในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะผู้ผลิต Shale Oil ในสหรัฐฯ
จากเดิมกลุ่มธุรกิจ Health Care ก็มีแรงหนุนที่แข็งแกร่งจากหลายๆปัจจัยอยู่แล้ว เช่น ความก้าวหน้าของนวัตกรรมทางการแพทย์ จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น และการเข้าถึงการรักษาและพยาบาลที่ยังต่ำของประเทศเกิดใหม่ แต่เมื่อโลกจะต้องเข้าสู่ “New Normal" หรือ ความปกติใหม่ การใช้ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นไปบนแบบแผนของการเว้นระยะห่างทางสังคม และการดูแลรักษาสุขภาพอย่างเข้มงวดมากขึ้น แน่นอนว่าจะช่วยยกระดับศักยภาพของนวัตกรรม และการดำเนินธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม Health Care ขึ้นไปอีกต่อหนึ่ง โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มผลิตยา (Pharmaceutical) และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) นอกจากนี้ กลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medtech) อย่างนวัตกรรมหาหมอออนไลน์ก็จะมีความสำคัญมากขึ้น เมื่อผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาลที่เป็นสถานที่เสี่ยง รวมถึงช่วยลดต้นทุนของโรงพยาบาลเองอีกด้วย โดยธุรกิจหาหมอออนไลน์นี้คาดว่าจะเติบโตได้สูงถึง 11% โดยเฉลี่ยต่อปีในช่วง 8 ปีต่อจากนี้
อย่างไรก็ดี หากมองลึกลงไปในกลุ่มธุรกิจ Health Care จะพบว่าไม่ใช่ทุกบริษัทจะได้รับผลบวกจากโรคโควิดไปเสียหมด เพราะ การทำการวิจัยทางคลินิกครั้งนึงนั้นต้องใช้เงินจำนวนมากซึ่งบริษัทยาขนาดเล็กไม่สามารถสู้กับบริษัทยาขนาดใหญ่ได้เลย จึงทำให้การควบรวมกิจการ หรือการเข้าซื้อบริษัทขนาดเล็กโดยบริษัทขนาดใหญ่ (Merger & Acquisition) เป็นเรื่องปกติในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ และถือว่าเป็นหนึ่งในเสน่ห์ทางการลงทุนที่โดดเด่นของหุ้นกลุ่ม Health Care มาอย่างยาวนาน
โดยสรุป เรามองว่าหุ้นกลุ่ม Health Care มีความน่าสนใจมากขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเราแนะนำลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง แต่อาจมีความผันผวนในระยะสั้นได้บ้างจาก 1) ราคาที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงนี้อาจมีการย่อตัวลงบ้าง 2) ความคืบหน้า และแนวโน้มความสำเร็จของการคิดค้นยารักษาและวัคซีน และ 3) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ซึ่งกลุ่ม Health Care มักจะถูกโจมตีในการหาเสียงอยู่เสมอดังที่เกิดขึ้นในปี 2016 อย่างไรก็ดี โอกาสถูกโจมตีรอบนี้ดูต่ำลง หลังนายโจ ไบเดนเป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครตในการแข่งขันกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่มีนโยบายที่ส่งผลเชิงลบกับกลุ่ม Health Care แต่อย่างใด
ผลตอบแทนตามรายกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ต้นปี 2020
ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2563