คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สร้างความประหลาดใจหลังจากมีการปรับลดดอกเบี้ยลง 25 bps ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยก่อนหน้าธนาคารกลางในภูมิภาคเอเซียได้ทยอยปรับลดไปก่อนหน้าแล้วไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, อินเดีย และมาเลเซีย รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ด้วยสาเหตุหลักที่ส่งผลให้มีการลดดอกเบี้ยในประเทศคือปัจจัยลบภายนอกซึ่งกระทบการส่งออกและเริ่มจะลุกลามมายังการบริโภคภายในประเทศบ้างแล้ว ผลลัพธ์ที่หลายฝ่ายคาดไว้หลังจาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยคือค่าเงินบาทควรจะอ่อน กลับอ่อนค่าเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้แข็งค่าขึ้นกว่าเดิมมากนัก เพราะสถานะการคลังบ้านเราที่ยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นดุลบัญชีเดินสะพัด หรือ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ค่าเงินบาทกลายเป็นสกุลเงินปลอดภัยไปโดยปริยายในเวลานี้
การลดอัตราดอกเบี้ยมักจะส่งผลบวกโดยตรงต่อตลาดหุ้น เพราะต้นทุนการเงินในการทำธุรกิจลดลง ช่วยรักษาจนถึงเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมทั้งการประเมินมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ที่เหมาะสมหรือ PE ถูกปรับขึ้นสูงขึ้นไปด้วยจากความต้องการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนลดลง น่าจะช่วยให้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้นบ้าง แต่แนวโน้มผลประกอบการภาพรวมน่าจะออกมาต่ำกว่าคาด ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการในครึ่งปีหลังยังคงเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ที่คาดว่าน่าจะทยอยออกมาเร็ว ๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการประกันราคาสินค้าเกษตร ท่องเที่ยว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงแนวโน้มข้อพิพาทการค้าที่คาดว่าอาจจะลดความร้อนแรงลงบ้าง เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้าใกล้เข้ามาทุกที
ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานกองทุนหุ้นไทยหลายกองทุนให้ผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว แต่ต้องเป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบเลือกลงทุนเป็นรายตัว หรือกองทุนผสมแบบยืดหยุ่นที่มีความสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้ตามสภาวะตลาดอย่างรวดเร็ว ที่ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ +5-10% เลยทีเดียว มากกว่า SET Index ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.60% เพราะสภาวะตลาดทั่วโลกรวมถึงไทย ณ ปัจจุบันนั้นมีความผันผวนสูงมาก การเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นไทยที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบรายตัว หรือผสมแบบยืดหยุ่นถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจท่ามกลางสภาวะตลาดในปัจจุบัน
ประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2562