Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

การลงทุนแบบคำนึงผลกระทบเชิงบวก (Impact Investing)

การลงทุนแบบคำนึงผลกระทบเชิงบวก (Impact Investing)

​​



ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานักลงทุนหลายท่านคงเคยได้ยินแนวทางการลงทุนแบบมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือที่อาจจะคุ้นเคยกันอย่างดีคือการลงทุนในบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งหลายปีที่ผ่านมากองทุนหลายกองทุนเริ่มมีการคัดกรองหุ้นที่จะต้องมีธรรมาภิบาลที่ดี นอกเหนือไปจากนั้นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย ในที่นี้จะกล่าวถึงการลงทุนที่นอกจากจะต้องดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบดังกล่าวแล้ว     ยิ่งไปกว่านั้นต้องดำเนินธุรกิจที่ต้องสร้างผลกระทบเชิงบวก และสร้างผลกำไรควบคู่กันไป พร้อมทั้งสามารถที่จะวัดผลกระทบที่ออกมาเป็นปริมาณได้ด้วย

กองทุนลักษณะดังกล่าวเริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปเป็นทวีปแรกๆ ที่ให้ความสำคัญผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากเป็นอย่างสูง ในช่วงต้นมีผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า บริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มีตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน เช่น Return on Equity (ROE) หรือ Return on Assets (ROA) ได้ดีกว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็น ต่อสังคม หรือสิ่งแวดล้อมนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น พลังงานทางเลือกที่ถือว่าสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก สามารถสร้างผลกำไรควบคู่ไปกับการลดมลภาวะสิ่งแวดล้อม อีกสาเหตุหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ รถยนต์ไฟฟ้า ที่ในช่วงแรกอาจจะยังไม่เป็นที่นิยม และอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะเป็นที่ยอมรับ หรือเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แต่เทคโนโลยีในยุคนี้ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานได้เอื้อประโยชน์อย่างมาก กลับกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว และสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในที่สุด สุดท้ายแล้วส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก และรวดเร็ว สาเหตุจากการเล็งเห็นแนวโน้มอนาคต และเริ่มดำเนินการเป็นกลุ่มแรกๆ ก่อนที่ตลาดจะเริ่มตระหนักถึง

KBank Private Banking ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ขณะเดียวกันนักลงทุนต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีควบคู่กันไปด้วย ดังเช่นกองทุน K Positive Change Equity (K-Change) ที่จะเริ่ม IPO ในวันที่ 30 เมษายน – 14 พฤษภาคมนี้ ลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Positive Change ที่มีหลักการการคัดเลือกหุ้นเข้ามาลงทุนต้องเป็นบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันสูง มีการอัตราการเติบโตทางกำไรสูง พร้อมทั้งต้องสร้างผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงโลกให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Tesla ที่ผลิตรถไฟฟ้า สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ หรือ ธนาคาร Rakyat Indonesia ที่ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกล และผู้ที่มีรายได้น้อย สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผลการดำเนินงาน ของกองทุนนี้ย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2017 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2019 อยู่ที่ 58.6% ขณะที่ดัชนีให้ผลการดำเนินงาน 14.0% พิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนแบบคำนึงถึงผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม สามารถที่จะสร้างผลกระทบต่อโลก และให้ผลตอบแทนที่ดีควบคู่กันไปด้วยเช่นเดียวกัน


ประจำวันที่ 29 เมษายน 2562



กลับ
PRIVATE BANKING