เมื่อยุโรปต้านเงินเฟ้อแรง น้ำมันแพงไม่ไหว ประกาศขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนไทยพึงระวังพร้อมรับมือ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาราคาพลังงานต่าง ๆ สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ในส่วนก๊าซธรรมชาติ และ ถ่านหินเองก็มีราคาพุ่งไปมากกว่า 2 เท่าตัว (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 65) ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้า และ การขนส่งปรับเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าการที่ราคาน้ำมันแพงเป็นต้นตอหนึ่งของปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา
นโยบายการเงินเปลี่ยนทิศ จากผ่อนคลายเป็นเข้มงวด
การแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงนั้น จะเห็นได้ว่าธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น
- ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วสามครั้งในปีนี้ และ ส่งสัญญานการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี อีกทั้งใช้มาตรการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและลดสภาพคล่องของเงินในระบบได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเติบโต โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ถูกแรงกดดันจากนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
สถานการณ์และแรงกดดันที่ยุโรปต้องเผชิญ
เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปนั้นยังคงถูกแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยุโรปต้องเผชิญไม่ต่างไปจากที่อื่น ๆ ทั่วโลก โดยอัตราเงินเฟ้อของยุโรปในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.1% ระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% เกือบ 4 เท่า และ มาตรการที่สหภาพยุโรปมีมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย 90% ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อกดดันรัสเซียให้ยุติการทำสงครามกับยูเครนส่งผลต่อเศรษฐกิจยุโรปและทั่วโลก
ภายหลังการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) ในวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ได้แจ้งว่าจะยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรยูโร เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป
จากนั้นจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 11 ปี และ คาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนกันยายนนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อระดับสูง
ขณะที่การคาดการณ์ยังมีการปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ และ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงอีกเช่นกัน เมื่อดูปัจจัยทั้งหมดข้างต้นแล้ว ตลาดหุ้นกลุ่มยุโรปยังมีแรงกดดันอยู่พอสมควร
คำแนะนำการลงทุน- สำหรับผู้ที่ถือกองทุนกลุ่มยุโรปอยู่ แนะนำหาจังหวะทยอยลดสัดส่วนการลงทุนสามารถโดยตัดสินใจขายคืนหรือสับเปลี่ยนไปกองทุนอื่นที่น่าสนใจกว่าได้
- ส่วนผู้ที่ยังไม่มีการลงทุนยังไม่แนะนำเข้าลงทุนในช่วงนี้
|
โอกาสทำกำไรจากธุรกิจพลังงานทางเลือกทดแทนน้ำมัน
ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ทำให้มุมมองของพลังงานทางเลือก และ พลังงานสะอาดกลายเป็นที่สนใจมากขึ้น และ เห็นได้จากนโยบายสนับสนุน รวมไปถึงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ออกมาจากหลายประเทศ เช่น ในปี 2564 ได้มีเงินลงทุนกว่า 50,000 ล้านยูโร (*) ไหลเข้ากลุ่มกองทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นปัจจัยบวกให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาจนเกิดเป็นการสร้างนวัตกรรม การบริการ หรือ สินค้าที่เกี่ยวข้องได้ในระยะยาว
(*) ข้อมูล ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564
จากโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจนี้ คำถาม คือ เราควรลงทุนอย่างไร? เห็นได้ว่าภาวะตลาดในปัจจุบันมีความผันผวนสูง ดังนั้นการจับจังหวะตลาดเพื่อเข้าลงทุนอาจทำได้ยาก จึงมีคำแนะนำดังนี้
- ลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ด้วยวิธีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average: DCA) เพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากความผันผวน
- ผู้ลงทุนจึงควรตั้งเป้าหมายการลงทุนอย่างน้อย 5 ปี เนื่องการลงทุนในระยะสั้นมีโอกาสเห็นการขาดทุนสูงจากปัจจัยลบตามบรรยากาศการลงทุนต่าง ๆ ขณะที่การลงทุนในระยะยาวจะเปิดโอกาสให้ราคาสามารถสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจได้เต็มที่ จึงช่วยลดโอกาสขาดทุนจากการลงทุนได้
บทความโดย
K-Expert นิติ สนิวาล
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า
กองทุนแนะนำที่เกี่ยวข้อง
K-CLIMATE
กองทุนเปิดเค Climate Transition
อ่านรายละเอียดกองทุน
| ซื้อกองทุนผ่าน KPLUS
|
|
|
ทำไมต้องเลือก K-CLIMATE จากกสิกรไทย
ลงทุนในหุ้นทั่วโลกโดยคัดเลือกธุรกิจที่สามารถเติบโตพร้อมกับมีส่วนช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันและยั่งยืน ในระยะยาวมีกลยุทธ์การลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lombard Odier Funds – Climate Transition, (USD), I Class A ตัวอย่างหุ้นที่กองทุน K-CLIMATE ลงทุน กองทุนหลักแบ่งการคัดเลือกหุ้นออกเป็น 2 ส่วน คือ
- ธุรกิจที่มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon-constrained World) เช่น
- Cummins บริษัทออกแบบและผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์พลังงานก๊าซธรรมชาติและไฮโดรเจน ประสบความสำเร็จในการผลิตรถไฟพลังงานไฮโดรเจนปราศจากมลพิษ
- NextEra Energy ผู้นำการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานลม แสงอาทิตย์ ไฮโดรเจนในสหรัฐฯ และแคนาดา โดยตั้งเป้ายกเลิกผลิตกระแสไฟฟ้าจากฟอสซิลภายในปี 2565 - ธุรกิจที่มีการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Carbon-damaged World) เช่น
- Carrier บริษัทพัฒนาน้ำยาแอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- Verisk ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้บริษัทประกันภัย การเงิน และพลังงาน ประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้
เหมาะสำหรับใคร
- คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากกฎเกณฑ์ นวัตกรรม การบริการ หรือ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันหรือช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
- รับความผันผวนของราคาหุ้นที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงจนทำให้ขาดทุนได้
- ยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
- สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
อ้างอิง