ทุกวันนี้ราคาสินค้า และ บริการต่าง ๆ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันที่จำนวนเงินเท่าเดิมที่คุณเคยจ่าย แต่ปริมาณน้ำมันที่ได้รับนั้นกลับได้น้อยลง อันเป็นผลมาจากสถานการณ์เงินเฟ้อซึ่งเป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุมีจากหลากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
-
สงครามระหว่างรัสเซีย – ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อมาอย่างต่อเนื่อง และ ส่งผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาของน้ำมันดิบ
-
ราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สืบเนื่องจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
-
ปัญหาขาดแคลนอุปทานของอาหารและ พลังงาน
-
สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังคงไม่คลี่คลาย
-
สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวตั้งแต่การมาของการแพร่ระบาดของ COVID-19
ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมานี้หลาย ๆ ประเทศทำสถิติตัวเลขเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบหลายปี ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป รวมไปถึงประเทศไทยเองก็สูงที่สุดในรอบ 13 ปี และ จะยังสูงอย่างต่อเนื่องไปในไตรมาสที่ 3 นี้ด้วย
ทั่วโลกกังวลสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
มุมมองนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังคงไม่มีทีท่าที่จะลดลงรวมไปถึง IMF เองก็มีความเห็นว่าเงินเฟ้อครั้งนี้จะอยู่สูงนานกว่าที่คาดไว้
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกเกิดความกังวลว่าตลาดโลกจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย และส่งผลให้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเริ่มผ่อนคลายเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ไว้ว่าจะเริ่มใช้ในช่วงกลางปี 2023 ที่จะถึงนี้
เตรียมรับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ภาคครัวเรือนต้องหมั่นเก็บออมงดก่อหนี้ ไม่ทำอะไรเกินตัว เพื่อให้พร้อมรับมือกับเศรษฐกิจโลกในยุคที่เสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มมีสัญญาณมาเป็นระยะจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น
-
เตรียมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินในภาวะวิกฤตอย่างน้อย 6 - 12 เดือน
-
บันทึกรายรับ - รายจ่าย ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและหารายได้เพิ่ม
-
บริหารหนี้จัดลำดับความสำคัญ เพื่อไม่ให้ตึงตัวจนเกินไป อาจปรึกษาสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือ
-
วางแผนการลงทุนที่มีให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ยุคเงินเฟ้อสูง บริหารเงินลงทุนอย่างไรดี
ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูง และ สภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะก้าวเข้าสู่ช่วงของการถดถอยเช่นนี้ กลยุทธ์การลงทุนที่ดูจะเหมาะสม คือ การจำกัดความเสี่ยง และ หาโอกาสการลงทุนในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยมีแนวทางการลงทุน ดังนี้
1. ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่ยาวนัก Duration ไม่เกิน 2 ปี เพื่อเป็นการลดความผันผวนของราคา และยังได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมทรัพย์ในระยะยาว
2. ลงทุนในประเทศที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และ อัตราเงินเฟ้อต่ำ
ประเทศจีน เริ่มผ่อนคลายมาตรการในหลาย ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับปัจจัยเชิงบวกอื่น ๆ ที่ทำให้เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน
-
นักลงทุนต่างคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มีโอกาสโตได้ถึง 5.5%
-
ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ในระดับต่ำที่ 2.2%
-
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนแซคส์คาดว่าจะมีการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น 4.5%
ประเทศญี่ปุ่น มีการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง และ จากการคาดการณ์ปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองในการลงทุน
-
ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5
-
ธนาคารกลางแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan : BOJ) มีการคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ
-
การอ่อนค่าของเงินเยน ส่งผลบวกต่อกำไรหุ้นญี่ปุ่น และทำให้การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา หลังจากการเปิดประเทศ
กระจายความเสี่ยงเพื่อป้องกันเงินเฟ้อในสินทรัพย์ทางเลือก
แม้ราคาทองคำจะถูกกดดันจากเงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ด้วยความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้การลงทุนในทองคำยังคงเป็นที่น่าสนใจอยู่
-
แนะนำให้ลงทุนสัดส่วน 5 – 10% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยง
-
ไม่แนะนำการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากมุมมองการลงทุนในทองคำของกสิกรไทย มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีทองคำในปี 2565 เอาไว้ที่ 1,820 – 1,920 จุด
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังควรติดตามตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น อัตราการว่างงาน , การจ้างงานฯ , ดัชนีราคาผู้บริโภค , ดัชนียอดคำสั่งซื้อใหม่ภาคการผลิต , ทิศทางนโยบายการเงินของทางสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงสูงจะกดดันภาพรวมการลงทุน การปรับพอร์ตกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามระยะเวลาที่ลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและ ความผันผวนทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นหลังสิ้นสุดวิกฤต
บทความโดย
K-Expert กานต์พิชชา แดงพิบูลย์สกุล
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า
กองทุนแนะนำที่เกี่ยวข้อง
K-CHINA-A
กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน
อ่านรายละเอียดกองทุน
|
ซื้อกองทุนง่าย ๆ บน KPLUS
|
|
|
ทำไมต้องเลือก K-CHINA-A จากกสิกรไทย
-
ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) - USD
-
ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (All China) ที่มีคุณภาพดี เติบโตสูง เน้นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ กลุ่มอุปโภคบริโภค และ สุขภาพ
-
ตลาดหุ้นจีนเริ่มมีทิศทางดีขึ้น มีปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลแสดงความพร้อมที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเรื่อยๆ รวมถึงการผ่อนคลายล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง
-
ธนาคารประชาชนจีน (ธนาคารกลางของสาธารณะรัฐประชาชนจีน)สามารถใช้นโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น
-
ในแง่ระดับราคาหุ้นจีน ได้ปรับตัวลงมาตอบรับข่าวร้ายไปมากแล้ว จนลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นหลักอื่น ๆ ของโลก
-
เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยสะสมและน่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีได้เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน
เหมาะสำหรับใคร
-
คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในจีน
-
รับความผันผวนของราคาหุ้นที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงจนทำให้ขาดทุนได้
-
ยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
-
สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
Disclaimer : “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
|