ปัญหาเงินเฟ้อในช่วงปีที่ผ่านมา ได้ทำธนาคารกลางหลายประเทศจำเป็นต้องใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นำโดยสหรัฐฯ ที่มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง จากอัตราดอกเบี้ย 0.25% เมื่อต้นปี 2022 มาสู่ระดับ 4.75% เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.50% สู่ระดับ 1.50% (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม 2023) ซึ่งทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่สินทรัพย์ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีความเสี่ยงต่ำและปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ จนเกิดเป็นภาพของผลตอบแทนติดลบนั่นเอง
สัญญาณการยุติของดอกเบี้ยขาขึ้น
แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูง แต่จากแนวโน้มที่มีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง เป็นการส่งสัญญาณว่าปัญหาเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลานาน น่าจะผ่านจุดสูงสุดของวัฏจักรเศรษฐกิจในรอบนี้แล้ว แต่ก็ยังคงมาพร้อมกับความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นที่จะเข้าสู่ถาวะถดถอย
รูปที่ 1 Implied Policy Rate Curve และ ระดับการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย
ที่มา : Bloomberg วันที่ 09/02/2023
จากข้อมูลของบลูมเบิร์กโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในอนาคต (Implied Policy Rate Curve) ได้สะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายใน 6 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 5.1% ก่อนที่จะมีโนวโน้มการปรับลดลงในระยะถัดไป (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2023) แสดงให้เห็นว่าตลาดได้มีการคาดการณ์ต่อวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้เป็นจุดสูงสุดและน่าจะยุติลงในช่วงกลางปี
จับจังหวะลงทุน ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
จากแนวโน้มภาพรวมของเศรษฐกิจที่มีทิศทางถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด การจัดสรรเงินทุนที่เหมาะสมตามวัฏจักรเศรษฐกิจจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถยืนอยู่ได้ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการลงทุน
วัฏจักรเศรษฐกิจ : ประกอบด้วย 4 ระยะ โดยเริ่มจาก 1. ระยะฟื้นตัว 2. ระยะเฟื่องฟู 3. ระยะถดถอย และ 4. ระยะตกต่ำ
|
ในปัจจุบันภาพเศรษฐกิจที่ชะลอการขยายตัว เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับระยะถดถอย และ กำลังจะเข้าสู่ระยะตกต่ำตามวัฏจักรทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยการจัดการของประเทศต่าง ๆ จะสามารถทำให้การเข้าสู่ระยะตกต่ำนี้ได้อย่างนุ่มนวล (Soft Landing) และ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลว่าจะเป็นภาวะวิกฤตทางการเงินแต่อย่างใด โดยทางออกสำหรับนักลงทุนเราได้แบ่งออกเป็น 2 ทาง คือ 1. การลงทุนในตราสารหนี้ และ 2. การกลับมาลงทุนในหุ้น
สร้างความมั่นคงและปลอดภัย ด้วยสินทรัพย์ตราสารหนี้
ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง ค่อนไปทางต่ำ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในตอนนี้ นอกจากนี้หากดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวลดลงเพื่อลดแรงกดดันต้นทุนทางการเงิน และ กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงถดถอย จะทำให้ราคาของตราสารหนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ลงทุนในระยะยาว
อย่างไรก็ตามควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งความน่าเชื่อถือดี เพื่อลดความเสี่ยงการล้มละลายของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ และ ควรเลือกลงทุนกับตราสารหนี้ระยะยาว เนื่องจากจะได้รับผลประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้นนั้นเอง
หุ้น...การลงทุนยอดนิยม เมื่อนโยบายเริ่มผ่อนคลาย
เมื่อนโยบายทางการเงินมีแนวโน้มที่จะลดความตึงตัวลง ทำให้การลงทุนในหุ้น ซึ่งเป็นการลงทุนยอดนิยมของใครหลาย ๆ คนกลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจด้านการผลิตและการบริโภคของสหรัฐฯ และ สหภาพยุโรปที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ทำให้เกิดความกังวลด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ ยังคงมีเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงกดดันต่อต้นทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน รวมไปถึงลดการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
จากปัจจัยข้างต้นทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปีนี้ยังคงลดลง และ มีความเสี่ยงหากอัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวลดลงตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้นักลงทุนที่คาดหวังการลงทุนในหุ้นควรคำนึง ดังนี้
-
ควรรอความชัดเจนของสถานการณ์
-
ควรเน้นไปที่หุ้นกลุ่มที่มีความมั่นคง สามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ
-
ลงทุนควบคู่กับหลักการกระจายความเสี่ยง
-
ตั้งเป้าหมายการลงทุนอย่างน้อย 3 – 5 ปี
ด้วยหลักการนี้จะช่วยลดความผันผวนจากปัจจัยระยะสั้นที่อาจเข้ามากระทบ และ สามารถเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยเสริมพอร์ตการลงทุนให้เติบโตผ่านไปได้ในทุก ๆ วิกฤต
บทความโดย
K WEALTH TRAINER นิติ สนิวาล AFPTTM
กองทุนแนะนำที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ
K-CBOND-A
อ่านรายละเอียดกองทุน
| ซื้อกองทุนผ่าน KPLUS
|
|
|
นโยบายการลงทุน
- เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน/รัฐวิสาหกิจ
- กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (Efficient Portfolio Management)
เหมาะสำหรับใคร ?
- คาดหวังผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
- ต้องการสภาพคล่องในการซื้อขาย ได้รับเงินค่าขายคืนภายในวันที่ T+2
- สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
K-GINCOME-A-(R)
อ่านรายละเอียดกองทุน
| ซื้อกองทุนผ่าน KPLUS
|
|
|
K-GINCOME-A-(A)
อ่านรายละเอียดกองทุน
| ซื้อกองทุนผ่าน KPLUS
|
|
|
ทำไมต้อง K-GINCOME ?
- กองทุนเน้นกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกกว่า 3,000 สินทรัพย์
- เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการจ่ายรายได้สม่ำเสมอ
- มีกลยุทธ์การลงทุนกว่า 550 กลยุทธ์และมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสินทรัพย์กว่า 50 คน ทำหน้าที่มุ่งหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายรับสม่ำเสมอ
เหมาะกับใคร ?
- ผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและไม่มีเวลาปรับพอร์ตด้วยตนเอง
- ผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนหุ้นต่างประเทศ สามารถรับความเสี่ยงได้
- ผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาวได้มากกว่า 5 ปีขึ้นไป
- ผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
หมายเหตุ :
โปรโมชั่นพิเศษในระหว่างวันที่ 26 ม.ค. – 31 มี.ค. 66
เมื่อลงทุนใน K-GINCOME-A(R), K-GINCOME-A(A), K-PLAN2 และ K-PLAN3 ผ่านทุกช่องทางของกสิกรไทย
ทุก 100,000 บาท จะได้รับหน่วยลงทุน K-GINCOME-A(A) 200 บาท (สูงสุด 1,000 บาท)
พร้อมได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-end Fee) เฉพาะ K-GINCOME-A(R) และ K-GINCOME-A(A)
- เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
- สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 02-6733888
- ศึกษาเองที่เว็บไซต์ www.kasikornasset.com