กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชาติจำนวนมาก ท่ามกลางร้านอาหารไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารตะวันตกสุดหรูอย่างฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ ฯลฯ ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จนเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งนักชิม อย่างไรก็ตามยังมีร้านอาหารจากวัฒนธรรมอื่นอีกมากมายในกรุงเทพที่คุณอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัส เปิดประสบการณ์ลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ไปกับ The Explorer เดือนมีนาคม ที่จะพาคุณไปรู้จักกับร้านอาหารวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่รับรองว่าคุณต้องตื่นตาตื่นใจไปด้วยกัน
The Moon Under Water
อร่อยไปกับอาหารรัสเซียคลาสสิคใจกลางกรุงเทพฯ
Address : 67/30 ถ. สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
Open: วันอังคาร เวลา 05.00 – 23.00 น. , วันพุธ - วันพฤหัสบดี เวลา 17.00 – 22.00 น.
วันศุกร์ - วันเสาร์ เวลา 17.00 – 23.00 น. และ วันอาทิตย์ เวลา 11.00 – 23.00 น.
แม้รัสเซียจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียในไทยก็มีอยู่ไม่น้อย แต่คนไทยกลับคุ้นชินกับอาหารรัสเซียน้อยมาก ๆ เพราะเมนูอาหารรัสเซียไม่ค่อยแพร่หลายเท่าใดนักเมื่อเทียบกับอาหารนานาชาติอื่น ๆ ในยุโรป เมนูรัสเซียส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่เรียบง่าย ใช้เครื่องปรุงรสไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นซุป สลัดผัก ขนมปังข้าวไรย์ เมนูธัญพืชต่าง ๆ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ ฯลฯ
* เครดิตภาพจาก The Moon Under Water
ที่กรุงเทพฯ ถ้าต้องการลิ้มชิมรสอาหารรัสเซียรสชาติต้นตำรับจากเชฟชาวรัสเซียนแท้ ๆ ชื่อแรกที่นักชิมหลายท่านนึกถึงคือ The Moon Under Water ร้านอาหารเล็ก ๆ ในซอยสวนพลูที่ตกแต่งด้วยบรรยากาศที่ให้กลิ่นอายแบบวัฒนธรรมสลาฟนานแท้จากของประดับและสไตล์การตกแต่งให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปยังต่างประเทศ
ซุป Borscht , เกี๊ยวรัสเซีย Pelmeni และ เซ็ตแพนเค้กรัสเซีย TheSun at Khrlovka
* เครดิตภาพจาก The Moon Under Water
ถ้าคุณยังไม่เคยชิมอาหารรัสเซียมาก่อน อาหารแบบชาวหมีขาวนั้นมีรสชาติที่รับประทานได้ง่ายมากกว่าที่คิด เมนูแนะนำ เช่น Borscht ซุปผักเพื่อสุขภาพที่มีชื่อเสียง มีสีแดงสดจากบีทรูท รสชาติคล้ายซุปมะเขือเทศรสชาติออกเปรี้ยวนิด ๆ กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี อย่าพลาดเมนูสตาร์ทเตอร์อย่าง The Sun at Khrlovka แพนเค้กพอดีคำเสิร์ฟกับแซลมอนและครีมเปรี้ยว หรือ Blini with Salmon Roe แพนเค้กจิ๋วเสิร์ฟกับไข่ปลาแซลมอนและครีมเปรี้ยว Pelmeni หรือเกี๊ยวแบบรัสเซีย ที่ทางร้านมีหลายไส้ให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ แซลมอน ฯลฯ หรือจะเป็นเมนูชื่อคุ้นหูคนไทยอย่าง Beef เนื้อวัวผัดซอสเสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งบดหรือพาสต้า และ Chicken Kiev Cutlet เมนูไก่ทอดสอดไส้เนย นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ เพื่อเป็นการครบสูตรการกินในแบบฉบับของประเทศหมีขาวนี้ขอแนะนำให้คุณจบมื้ออาหารด้วยวอดก้าค่ะ
Must Try : Borscht (260 บาท) The Sun at Khrlovka (570 บาท) Pelmeni :Dumpling with Lamb (390 บาท) Beef Stroganoff (490 บาท) Chicken Kiev Cutlet (520 บาท) Bangkok Vodka/shot (190 บาท) |
* เครดิตภาพจาก AVRA Greek Georgian Restaurant
AVRA
ความอร่อยกรุ่นกลิ่นอายอารยธรรมกับอาหารกรีกและจอร์เจียน
Address : 1 ซ. สุขุมวิท 33 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Open : วันอังคาร - วันศุกร์ เวลา 18.00 – 23.00 น.
วันเสาร์ - วันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 23.00 น.
ประเทศจอร์เจีย ตั้งอยู่ที่บริเวณภูมิภาคคอร์เคซัส ซึ่งเป็นจุดตัดระหว่างยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตก และมีประวัติศาสตร์ยาวนานว่า 2,500 ปี ในเรื่องของวัฒนธรรมอาหาร หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับรสชาติของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนสไตล์อิตาเลี่ยนหรือฝรั่งเศสตอนใต้อยู่บ้าง อาจจะอยากลองเขยิบมาเปิดประสบการณ์กับรสชาติอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่มีความเก่าแก่มากขึ้นอย่างจอร์เจียนและกรีกดูซักครั้ง
* เครดิตภาพจาก AVRA Greek Georgian Restaurant
อาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่มีรสชาติอร่อยถูกปากคนไทยอยู่ไม่น้อย และ ยังขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพว่ากินแล้วอายุยืน ดังนั้น เมนูอาหารกรีกและจอร์เจียที่ร้าน AVRA Greek and Georgian Restaurant จึงน่าจะทำให้นักชิมหลายท่านชื่นชอบได้ไม่ยาก โดยร้านจะอยู่ภายในโรงแรม Bangkok Lotus สุขุมวิท 33
เกี๊ยวจอร์เจีย Khinkali , พิซซ่าจอร์เจีย Khachapuri และ แกะย่างแบบกรีก Paidakia
* เครดิตภาพจาก AVRA Greek Georgian Restaurant
มีหลายเมนูน่าสนใจ เช่น Khinkali หรือ เกี๊ยวแบบจอร์เจียหลากสีสัน สอดไส้หลายแบบ เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ ชีส ฯลฯ Qutab แผ่นแป้งย่างสอดไส้รสชาติต่าง ๆ เช่น เนื้อแกะ ผักโขมกับชีส มันฝรั่งกับสมุนไพร รับประทานคู่กับครีมเปรี้ยว Khachapuri พิซซ่าสไตล์จอร์เจียน ขนมปังแป้งบางตรงกลางใส่ไส้สารพัด ถ้าเลือกแบบคลาสสิคจะเป็นชีสและไข่ สำหรับเมนูอาหารกรีก มี Dipping หลายอย่างให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น Hammus จากถั่วชิกพี หรือ Tarama ที่ทำจากไข่ปลาค็อดและน้ำมันมะกอก สำหรับท่านที่รับประทานอาหารวีแกน ที่นี่มีเมนูวีแกนแสนอร่อยอย่าง Phali Veggie Ball ทั้งแบบผักโขม และบีทรูท นอกจากนี้ยังมีเมนูกรีกจานเนื้อที่ต้องลองอย่าง Paidakia แกะย่างแบบสมุนไพรสไตล์กรีกที่หอมอบอวลไปด้วยเครื่องเทศ
Must Try : Khinkali (ราคาต่อชิ้น 80 - 99 บาท) Qutab (ราคาต่อชิ้น 190 - 220 บาท) Khachapuri (ราคาต่อชิ้น 360 - 380บาท) Paidakia (590 บาท) |
* เครดิตภาพจาก OJO
OJO
สนุกไปกับรสชาติอาหารโมเดิร์นเม็กซิกัน
Address : ชั้นที่ 76 โรงแรม The Standard Bangkok 114 ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ สีลม บางรัก กรุงเทพฯ
Open : ทุกวัน เวลา 11.30 – 14.30 และ เวลา 17.30 – 24.00 น.
ถ้าพูดถึงอาหารเม็กซิกัน สำหรับคนไทยส่วนใหญ่คงจะคุ้นกับชื่อเมนูทาโก้ นาโช่ หรือเบอร์ริโต เรียกว่านักชิมหลายท่านก็พอจะมีความคุ้นชินกันอยู่บ้าง แต่วัฒนธรรมอาหารเม็กซิกันไม่ได้มีดีแค่เมนูสตรีทฟู้ดดังกล่าว อาหารเม็กซิกันนั้นเกิดจากการนำเอาวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ข้าวโพด มะเขือเทศ อะโวคาโด พริก ฯลฯ มาผสมผสานกับวัฒนธรรมเครื่องเทศที่นำมาจากสเปน รวมทั้งยังได้อิทธิพลมาจากอาหารอเมริกันเข้ามาผสมผสานจนเกิดเป็นรสชาติเฉพาะตัว และเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก
* เครดิตภาพจาก OJO
ในเมืองไทยคงจะหายากอยู่ซักหน่อยกับร้านอาหารเม็กซิกันในระดับไฮคลาส ที่เสิร์ฟเมนูอาหารเม็กซิกันคุณภาพสูงสไตล์ฟิวชัน ซึ่งที่นั่นก็คือ OJO ร้านอาหารเม็กซิกันสุดหรูที่ตั้งอยู่บนชั้น 76 ของโรงแรม The Standard ตึกมหานครนี้เอง
เมนู Kaviari Osciètre , Corn soufflés , Asada Taco และ Camarones Al Guajillo
* เครดิตภาพจาก OJO
OJO จะดึงความสนใจของทุกท่านไปกับบรรยากาศร้านสไตล์ Modern Luxury พร้อมชมวิวกรุงเทพจากมุมสูงที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกก้าวเข้าไปในร้าน ที่ร้านจะเสิร์ฟเมนู Authentic Mexican ที่ใช้วัตถุดิบหลักนำเข้าจากเม็กซิกัน โดยเชฟชาวเม็กซิกัน นำมาทวิสต์กับวัตถุดิบพรีเมียมจากในประเทศไทยให้ออกมามีรสชาติใกล้เคียงกับต้นตำรับมากที่สุด เช่น เซ็ตสุดหรู Cavier สไตล์เม็กซิกัน เสิร์ฟแบบ 4 เมนู Corn soufflé, cream, pickeld onion และ habanero หรือ จะเป็นเมนูทาโก้ที่คุ้นเคยอย่าง Asada Taco แผ่นแป้งตอร์ติญ่าเสิร์ฟคู่กับวากิวริบอายบาร์บีคิว พริกย่างและ กัวคาโมเล่ สุดท้ายกับเมนคอร์ส Camarones Al Guajillo กุ้งลายเสือไซส์ XL ย่างเนยพริกกระเทียม และ อย่าพลาดกับค็อกเทลหลากเมนูตบท้ายมื้ออาหาร
Must Try : Cavier (เสิร์ฟ 4 เมนู ราคา 4,250 บาท) Asada Taco( สำหรับ 2 ท่าน ราคา 1,250 บาท) Camarones Al Guajillo (2,100 บาท) |
* เครดิตภาพจาก Kalayana
Kalyana
ประสบการณ์ทางรสชาติข้ามพรมแดนกับความอร่อยแบบหพหุวัฒนธรรม
Address : 110 112 ถ. ราชปรารภ แขวงถนนพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ
Open : ทุกวันเวลา 10.00 – 23.00 น.
แม้จะมีพรมแดนติดกันมากที่สุดในอาเซียน แต่วัฒนธรรมอาหารระหว่างพม่ากับไทยนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่คุ้นเคยกันเอาเสียเลย เพราะอาหารพม่าส่วนใหญ่จะเน้นรสชาติไปที่เผ็ด เปรี้ยว และเค็ม จากวัตถุดิบเช่น กุ้งแห้ง ใบชาหมัก ถั่วต่าง ๆ ทำให้ไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไรนัก โดยเฉพาะคนกรุงเทพที่นิยมรสชาติครบรส เปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ด แต่ในความเป็นจริง อาหารพม่านั้นได้รวบรวมพหุวัฒนธรรมขนาดใหญ่เอาไว้ และมีเมนูแตกต่างหลากหลายเป็นอย่างมาก ควรค่าแก่การไปลองเปิดประสบการณ์ดูซักครั้ง ว่าวัฒนธรรมอาหารพม่าซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างอินเดียและจีนนั้นจะมีรสชาติเป็นเช่นไร
* เครดิตภาพจาก Kalayana
Kalyana เป็นหนึ่งในร้านอาหารพม่าระดับคุณภาพที่นำเสนออาหารพม่าในรูปแบบทันสมัยได้อย่างน่าสนใจ บรรยากาศภายในร้านตกแต่งแบบสมัยใหม่แต่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมพม่าจากของตกแต่งต่าง ๆ ภายในร้าน โดยทางร้านจะเน้นที่นโยบายของอาหารพม่าแบบต้นตำรับที่มีคุณภาพ การันตีด้วยรางวัล AEC Quality Award 2022
เมนูขนมจีนพม่า Mont Hin Ga , เซ็ตเต้าหู้อุ่นไทใหญ่ Shan Tofu Hmwe และขนมหวานพม่าแบบต่าง ๆ
* เครดิตภาพจาก Kalayana
เมนูที่แนะนำ เช่น แนะนำให้เริ่มต้นด้วยเมนูที่มีทุกบ้านในพม่าอย่าง Lahphet Thoke หรือ ยำใบชาหมัก โดยนำใบชาหมักหรือใบเมี่ยงมายำกับถั่วนานาชนิด และ มะนาวพริกสด Mont Hin Ga หรือ ขนมจีนพม่า รสชาติคล้ายขนมจีนน้ำยา ผสมหยวกกล้วย เสิร์ฟคู่กับไข่ต้มและถั่วแผ่นทอด แตกต่างจากไทยตรงที่มีรสเปรี้ยวจากมะนาว เซ็ต Shan Tofu Hmwe เต้าหู้อุ่นไทยใหญ่ เมนูก๋วยเตี๋ยวไทใหญ่เสิร์ฟคู่กับน้ำพริกถั่วเหลืองและเต้าหู้นิ่ม หรือจะลองเมนู Stir Fried Prawn with Roselle Leaves ผัดใบกระเจี๊ยบกับกุ้ง ที่คล้ายรสชาติของกุ้งผัดกระเทียมพริกไทยแบบบ้านเราแต่เพิ่มความเปรี้ยวจากใบกระเจี๊ยบตัดรสขึ้นมา ล้างปากด้วยของหวานพม่าอย่าง เค้กซาโมลินา วุ้นกะทิ พุดดิ้งสาคู ฯลฯ และ ตบท้ายด้วยชาพม่าที่ขึ้นชื่อในเรื่องของกลิ่นและรสที่เข้มข้น
Must Try : Lahphet Thoke (80 บาท) Mont Hin Ga (100 บาท) Shan Tofu Hmwe (120 บาท) Stir Fried Prawn with Roselle Leaves (250 บาท) Semolina Cake (100 บาท) |
* เครดิตภาพจาก Viva Philipinas
VIVA PHILIPINAS
อาหารฟิลิปปินส์รสชาติต้นตำรับครัวปินอยส์
Address : 327 ถ.ศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวื กรุงเทพฯ
Open : เปิดบริการ อังคาร เวลา 11.00 – 20.00 น.
วันพุธ - วันศุกร์ เวลา 11.00 – 21.00 น. , วันเสาร์ เวลา 11.00 – 24.00 น.
และ วันอาทิตย์ เวลา 11.00 – 19.00น.
อาหารฟิลิปปินส์ได้รับอิทธิพลทั้งจากวัฒนธรรมสเปนและจีน สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวของสมัยยุคอาณานิคมในเอเชียแปซิฟิก บางคนกล่าวว่าอาหารฟิลิปปินส์ เป็นอาหารฟิวชันยุคแรก ๆ ของโลก และสำหรับคนไม่ทานรสเผ็ด อาหารฟิลิปปินส์น่าจะเป็นอาหารเอเชียที่คุณชื่นชอบได้ไม่ยาก เพราะมีรสเปรี้ยว เค็ม หวานเป็นหลัก
* เครดิตภาพจาก Viva Philipinas
ที่ Viva Philipinas เป็นร้านอาหารฟิลิปปินส์แท้ ๆ เสิร์ฟเมนูอาหารฟิลิปินส์จากเชฟชาวฟิลิปปินส์ต้นตำรับ โดยร้านจะอยู่ที่ชั้น 4 โรงแรม Akara Bangkok โดยนำทั้งอาหารและบรรยากาศแบบฟิลิปปินส์มาไว้ที่ร้าน จึงไม่แปลกที่จะได้พบเห็นชาวฟิลิปปินส์ในกรุงเทพฯ แวะเวียนมาที่นี่เป็นจำนวนมาก
Sisig , Chicken a la Viva , Pastel de Lengua และ Buko Pie
* เครดิตภาพจาก Viva Philipinas
เมนูอาหารฟิลิปปินส์แบบคลาสสิคที่ต้องลองที่ร้านนี้ไม่มีเพียงแค่ Chicken Adobo แบบที่ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่ Sisig เมนูกับแกล้มที่ทำจากเนื้อสัตว์ผัดกับพริกหยวกและขิง ปรุงรสด้วยน้ำส้มจี๊ด ของทางร้านจะมีทั้ง Sisig จากหมูสามชั้นและเนื้อปลานวลจันทร์ ก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะได้ล้อมลอง ลิ้มลองนอกจากนี้ยังมี Pastel de Lengua สตูว์ลิ้นวัวแบบฟิลิปปินส์ เสิร์ฟกับซอสครีมเห็ด , Lechon Belly หมูสามชั้นย่างสมุนไพรและเครื่องเทศ อย่าพลาดกับ Chicken a la Viva เมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่เป็นไก่ทอดทั้งตัวเสิร์ฟกับกระเทียมย่างสมุนไพร ตบท้ายด้วยขนมฟิลิปปินส์อย่าง Buko Pie พายมะพร้าวแบบฟิลิปปินส์ซึ่งดัดแปลงมาจากสูตรพายแอปเปิลแบบอเมริกันแต่ใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนแทน หรือจะเป็น Bibinka ขนมหวานพื้นเมืองที่ทำจากข้าว มะพร้าว เนยและไข่อบในใบตอง อิ่มอร่อยสไตล์ฟิลิปปินส์ให้ครบ แน่นอนว่าภายในร้านจะต้องมีการแสดงดนตรีสดสมศักดิ์ศรีกับการที่เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าร้องเพลงเพราะกันแทบจะทั้งประเทศนั่นเอง
Must Try : Lechon Sisig (240 บาท) Chicken a la Viva (350 บาท) Pastel de Lengua (390 บาท) Lechon Belly (550 บาท) |
และนี่คือรสชาติที่แตกต่างหลากหลายในวัฒนธรรมอาหารที่คุณอาจยังไม่เคยได้ลิ้มลอง หรือหาร้านในกรุงเทพได้ค่อนข้างยากเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างประสบการณ์ทางรสชาติอาหารที่มีความแปลกใหม่กว่าที่เคย