ประกัน
ตัวช่วยลดภาษี ที่สั้นและง่าย ใครว่าไม่มี
หากพูดถึงตัวช่วยลดหย่อนภาษี ปัจจุบันมีอยู่หลากหลายทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง LTF RMF หรือการเก็บออมเงินผ่านเบี้ยประกันชีวิต ประกันบำนาญ แต่ใช่ว่าทุกทางเลือกจะเหมาะกับเราทุกคน
ลดภาษีด้วยประกันชีวิต ดีอย่างไร?
ประกันชีวิตโดยเฉพาะประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นตัวช่วยที่มักถูกเลือกเป็นลำดับแรกๆ โดยเฉพาะคนที่อยากเน้นลดหย่อนภาษีเป็นหลัก ไม่อยากให้เงินต้นหาย มีผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินในจำนวนที่รู้แน่นอนนับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ
สำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ต่ำ ถ้ามีเงินเหลือมากพอก็คงเลือกที่จะนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้เอกชน ที่ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยในจำนวนที่แน่นอนตราบเท่าที่ผู้ออกยังไม่ประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) และถือเป็นทางเลือกลงทุนที่สร้าง Passive Income ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ถ้ามีหุ้นกู้ตัวไหนที่ซื้อแล้วสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ คงมีคนรีบแห่กันไปจองซื้อจนเกลี้ยงแน่นอน
“เงินคืน” ที่ได้รับจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จะว่าไปก็เป็นผลตอบแทนที่มีรูปแบบเป็นพันธะสัญญาระหว่างบริษัทประกัน (เปรียบได้กับผู้ออกหุ้นกู้) กับผู้เอาประกัน (เปรียบได้กับผู้ถือหุ้นกู้) เพียงแต่จำนวนเงินคืนที่ว่ามีการกำหนดเป็น % ของเงินเอาประกัน ไม่ใช่ % ของเบี้ยประกันที่จ่ายไป ซึ่งต่างจากดอกเบี้ยของหุ้นกู้ที่กำหนดเป็น % ของมูลค่าที่ตราไว้ (หรือเท่ากับจำนวนเงินลงทุนตอนจองซื้อครั้งแรก) และเงินคืนที่ว่าอาจมีความถี่ในการจ่ายคืนเป็น รายปีหรือปีเว้นปี ตามแต่ละแบบประกัน ซึ่งอาจถี่น้อยกว่าดอกเบี้ยของหุ้นกู้ แต่ข้อดีของเงินคืนจากประกันชีวิตคือ เงินคืนนั้นไม่ถูกหักภาษี ณ จ่าย เหมือนดอกเบี้ยหุ้นกู้ จึงไม่น่าแปลกที่เราอาจมองว่า ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีเงินคืนระหว่างสัญญาและมีการชำระเบี้ยเพียงครั้งเดียว (Single Premium) เป็นทางเลือกในการสร้าง Passive Income ที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ประกันสั้นๆ จ่ายเบี้ยครั้งเดียว มีด้วยเหรอ?
อายุสัญญาที่สั้นที่สุดของประกันชีวิตที่เบี้ยประกันนำไปลดหย่อนภาษีได้ ต้องไม่สั้นไปกว่า 10 ปี ดังนั้นถ้ามีประกันชีวิตที่ระยะเวลาของสัญญา 10 ปี มีเงินคืนระหว่างทาง และเป็นแบบชำระเบี้ยครั้งเดียว (Single Premium) ก็ถือเป็นแบบประกันในฝันที่ช่วยสร้าง Passive Income แถมยังลดหย่อนภาษีได้ด้วย
คำถามคือ ประกันแบบนี้มีจริงเหรอ? คำตอบคือ มี เพียงแต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วประกันแบบนี้มักมีให้เห็นกันไม่บ่อยนัก บางบริษัทก็นำออกมาเสนอขายเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งกว่าเราจะสืบจนรู้ว่าที่ไหนมี กว่าจะติดต่อตัวแทนได้ ก็อาจซื้อไม่ได้หรือไม่ทันใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสิ้นปีแล้ว
“ประกันชีวิต One Plus 10/1” เป็นประกันชีวิตในแบบที่เพิ่งเล่ามาซึ่งสั้นและง่าย โดยเป็นแบบประกันชีวิตที่มีลักษณะ (1) ชำระเบี้ยครั้งเดียวจบ ไม่มีพันธะต้องจ่ายเบี้ยปีต่อๆ ไป ปีนี้ถ้ามีเงินน้อยก็เลือกซื้อน้อย แต่ถ้ามีเงินเยอะก็เลือกซื้อเยอะ ผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้ก็สูงตามมา (2) ระยะเวลาของสัญญา 10 ปีถ้วน คือสั้นสุดๆ เท่าที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้แล้ว (3) มีเงินคืนปีเว้นปี เริ่มตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 พอครบ 10 ปี ก็ได้รับเงินก้อนคืน
อีกหนึ่งจุดเด่นของ
ประกันชีวิต One Plus 10/1 คือ ค่าเบี้ยเริ่มต้นที่ 10,000 บาท ไม่ว่าจะเพศไหน อายุเท่าไรก็ตาม ดังนั้น ถ้าปีนี้เผลอใช้เงินหนักมือจนเหลือเงินซื้อประกันลดหย่อนภาษีได้ไม่เยอะก็เริ่มที่ 10,000 บาทก็ได้ แต่ถ้าที่ผ่านมาบริหารเงินตัวเองได้ดี มีเงินเหลือเยอะจะซื้อเยอะหน่อยสัก 100,000 บาทก็ได้ สิทธิทางภาษีก็ได้เพิ่มตามมาเช่น เลือกจ่ายเบี้ย 10,000 บาท ซึ่งจะได้ทุนประกัน 10,000 บาท ก็จะได้เงินคืนครั้งละ 3% ของทุนประกัน หรือ 300 บาท ในสิ้นปีที่ 2, 4, 6, 8 และพอครบสัญญาตอนสิ้นปีที่ 10 นอกจากเงินคืน 300 บาท แล้วยังได้รับเงินต้นคืน 10,000 บาทด้วย ซึ่งถ้าคิดคร่าวๆ คือ ได้เงินคืนเฉลี่ยครั้งละ 3% หรือปีละ 1.5% ของเงินต้น 10,000 บาท ซึ่งถ้าจะมีหุ้นกู้ที่มีลักษณะเหมือนกันนี้ ก็ต้องเป็นหุ้นกู้ที่มีประกาศอัตราดอกเบี้ย 1.76% ต่อปี (ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%) แต่สะสมไว้จ่ายทุกๆ 2 ปี เป็นต้น
ประกันนี้ ซื้อได้ที่ไหน?
โดยปกติถ้าอยากซื้อประกันชีวิตสักฉบับ คงต้องเดินไปสาขาธนาคารหรือติดต่อตัวแทนเพื่อนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเสนอขาย ลงนาม ชำระเงิน ฯลฯ แต่ปัญหาคือ บางครั้งเราก็ไม่ได้มีเวลาว่างหรือสะดวกที่จะนัดพบเจ้าหน้าที่ได้ง่ายนัก ยิ่งถ้าเป็นช่วงปลายปีด้วยแล้วการซื้อประกันให้ทันใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสิ้นปี ต้องวางแผนให้ดีเพราะหลังลงนามและชำระเงินแล้ว กว่าเจ้าหน้าที่จะยื่นเอกสารเข้าบริษัทประกันและรอกรมธรรม์อนุมัติ ต้องใช้เวลาหลายวันซึ่งอาจไม่ทันสิ้นปีก็ได้
แต่สำหรับ
ประกันชีวิต One Plus 10/1เป็นประกันที่ซื้อได้ทุกที่แม้แต่ตอนนอนอยู่บ้านหรือนั่งดื่มกาแฟที่ทำงาน เพราะสามารถซื้อได้บน K PLUS (Mobile Banking ของธนาคารกสิกรไทย) แถมซื้อแล้วแทบจะรู้ผลอนุมัติกรมธรรม์ทันที ทำให้สบายใจได้ว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป ทันใช้สิทธิลดหย่อนภาษีปีนี้แน่นอน หรือถ้ามีเวลาจะอ่านข้อมูลแบบประกัน แล้วค่อยๆ หาข้อมูลประกันของที่อื่นมาเปรียบเทียบก็ทำได้โดยไม่มีใครมาคอยกดดัน ขอแค่อย่าลืมกดซื้อให้ทันสิ้นปีก็พอ
ฝากไว้ ก่อนซื้อประกัน
- เช็กสิทธิให้ดีว่าปีนี้มีจ่ายเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันสุขภาพไปแล้วเท่าไร เหลือซื้อได้อีกเท่าไรเพื่อจะได้ไม่เกิน 100,000 บาท
- อย่ามัวแต่คิดว่าต้องลดภาษีให้ได้เยอะๆ ต้องเช็กความพร้อมของตัวเองด้วย เพราะถ้าซื้อแล้วเวนคืนหรือยกเลิกประกันก่อน 10 ปี ก็ต้องคืนภาษีที่ได้ลดหย่อนมา แถมต้องจ่ายเงินเพิ่มให้สรรพากรอีกด้วยนะ
- ถ้า ประกันชีวิต One Plus 10/1 ยังไม่ถูกใจ แล้วกำลังมองหาประกันที่อื่นอยู่ ต้องดูว่าเบี้ยประกันขั้นต่ำที่ซื้อได้สูงเกินสิทธิลดหย่อนที่เหลืออยู่ไหม เพราะหลายๆ ที่เบี้ยประกันขั้นต่ำก็สูงกว่า 10,000 บาทนะ
- ถ้าซื้อปลายๆ ปี ก็อย่าลืมเช็กว่าสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ทันปีนี้ไหม เพราะซื้อแล้วกรมธรรม์อาจไม่ได้อนุมัติรวดเร็วทันใจเหมือนอย่าง ประกันชีวิต One Plus 10/1
หมายเหตุ : การเปรียบเทียบเงินคืนเฉลี่ยปีละ 1.5% ต่อปีของเบี้ยที่จ่ายไป เทียบกับอัตราดอกเบี้ย 1.76% ต่อปีของหุ้นกู้นั้น เป็นเพียงการเปรียบเทียบเบื้องต้น โดยพิจารณาปัจจัยด้านภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ย เป็นหลักเท่านั้น ไม่ใช่การคำนวณ IRR ของแบบประกัน
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง :
บทความที่เกี่ยวข้อง :