โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยให้สิทธิกับประชาชนทั้งหมด 31 ล้านคน ปัจจุบันยังมีสิทธิคงเหลืออยู่ ใครสนใจยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ 2 ช่องทางคือ
- ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง พร้อมผูก G-Wallet โดยกดแถบโครงการคนละครึ่ง (สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ/มาตรการรัฐที่ใช้แอปฯ เป๋าตัง)
โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
รายละเอียดโครงการ
โครงการนี้เป็นโครงการใหม่ โดยคนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิจากภาครัฐที่สนับสนุน E-Voucher ในรูปแบบของสิทธิเข้า G-Wallet สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการต่างๆ ได้แก่ บริการนวด สปา ทำผม และทำเล็บ แต่ไม่รวมถึงสลาก กินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และสินค้าและบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า เมื่อชำระเงินผ่าน G-Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง กับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564 โดยแบ่งเป็น
- การใช้จ่ายเพื่อนำมาคำนวณสิทธิ E-Voucher ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งจะได้รับ E-Voucher ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
- การใช้จ่ายด้วย E-Voucher ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2564
โดยเกณฑ์การใช้จ่ายที่จะได้รับ E-Voucher มีดังนี้
- การใช้จ่าย 1-40,000 บาทแรก จะได้รับ E-Voucher 10% แต่ไม่เกิน 4,000 บาท
- การใช้จ่าย 40,001-60,000 บาท จะได้รับ E-Voucher 15% แต่ไม่เกิน 3,000 บาท รวมสิทธิ E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน
ทั้งนี้ วงเงินใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณสิทธิ E-Voucher ตั้งแต่วันที่ 1 - 21 กรกฎาคม 2564 ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม – 30 พฤศจิกายน 2564 นั้น ไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน
โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยให้สิทธิกับประชาชนทั้งหมด 14 ล้านคน ปัจจุบันยังมีสิทธิคงเหลืออยู่ ใครสนใจยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ 2 ช่องทางคือ
- ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง พร้อมผูก G-Wallet โดยกดแถบโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ (สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ/มาตรการรัฐที่ใช้แอปฯ เป๋าตัง)
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ
สำหรับโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ประชาชนสามารถเลือกลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้เพียง 1 โครงการเท่านั้น จะรักพี่เสียดายน้องไม่ได้ โดยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการได้แก่
- เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน
- อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
- ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผ่านบัตรประชาชน)
ข้อดีของโครงการ
ข้อดี
- ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน อย่างโครงการคนละครึ่ง รัฐก็ช่วยออกค่าใช้จ่ายให้เราครึ่งนึง ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รัฐก็ให้ E-Voucher ให้เราไปซื้อสินค้าบริการได้เพิ่ม
- ช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้กับร้านค้า ผู้ประกอบการ ทำให้ขายสินค้าบริการได้มากขึ้น มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มมากขึ้น
- ช่วยเพิ่มการบริโภคทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ เพราะกระตุ้นให้คนอยากใช้จ่ายมากขึ้น และเป็นการจับจ่ายใช้สอยหรือการบริโภคกันภายในประเทศ
แต่ละโครงการเหมาะกับใคร เลือกข้างไหนดี
ในเมื่อประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมทั้ง 2 โครงการได้ แสดงว่าแต่ละโครงการถูกออกแบบมาให้เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตและการจับจ่ายใช้สอยที่แตกต่างกัน ลองมาดูว่าโครงการไหนเหมาะกับใคร และเราควรเลือกข้างไหนดี
ข้อควรรู้
ข้อควรรู้ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และยิ่งใช้ยิ่งได้ ได้แก่
- การลงทะเบียน ผู้สนใจเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการใดโครงการหนึ่งผ่านเว็บไซต์โครงการหรือแอปฯ เป๋าตัง พร้อมดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง สำหรับคนที่ยังไม่มีแอปฯ หลังจากนั้นให้รอ SMS ยืนยันการลงทะเบียน เมื่อได้รับ SMS ยืนยันการลงทะเบียนสำเร็จให้ทำการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน
- ก่อนใช้สิทธิ เราจะต้องเติมเงินเข้า G-Wallet ในแอปฯ เป๋าตังก่อน โดยสามารถโอนเงินจากแอปพลิเคชันการเงินของธนาคาร พร้อมเพย์ หรือจากตู้ ATM เข้าบัญชี G-Wallet เมื่อนำไปใช้จ่ายจะเป็นการหักเงินใน G-Wallet ไป
- การใช้จ่าย ต้องใช้จ่ายผ่าน G-Wallet ในแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งเสมือนเป็นการจ่ายด้วยเงินสด ดังนั้น โปรโมชันที่ผูกกับ
บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือแอป Wallet ต่างๆ จึงไม่สามารถใช้ได้นั่นเอง
คำแนะนำในการจับจ่ายใช้สอยสำหรับคนที่เข้าร่วมโครงการ
สำหรับคนที่เข้าร่วมโครงการใดโครงการหนึ่ง มีคำแนะนำในการจับจ่ายใช้สอยดังนี้
• วางแผนการใช้จ่ายในแต่ละวัน
เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแต่ละโครงการ ควรวางแผนการจับจ่ายใช้สอยในแต่ละวันให้ดี โดยการทยอยซื้อสินค้าหรือบริการในแต่ละวันไม่ให้เกินวงเงินหรือสิทธิที่ได้รับภายในระยะเวลาของโครงการ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ให้เต็มสิทธิที่ได้รับ หรือใช้จ่ายทุกวันก็ได้ เพราะมีระยะเวลาให้เราใช้จ่ายนานพอสมควร
• พิจารณาถึงความจำเป็นในการซื้อ
แม้ว่าเราจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่าย แต่ก็ควรคำนึงถึงความจำเป็นในการซื้อสินค้าหรือบริการด้วยว่าของชิ้นไหนจำเป็นต้องซื้อ จำเป็นต้องใช้ หรือยังไม่จำเป็นต้องซื้อในตอนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น รวมถึงเปรียบเทียบความคุ้มค่าของสิ่งที่ได้รับกลับมากับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปทั้งหมดว่าคุ้มค่ากันหรือไม่
• ตรวจสอบประเภทสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการก่อนตัดสินใจใช้จ่าย
ที่สำคัญคือ ก่อนตัดสินใจใช้จ่าย อย่าลืมตรวจสอบประเภทสินค้าหรือบริการ และตรวจสอบร้านค้าก่อนว่าเข้าร่วมโครงการนั้นๆ หรือไม่ เพื่อให้การใช้จ่ายของเราเกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
การเข้าร่วมโครงการของภาครัฐ นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบันแล้ว ยังทำให้เรามีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น หากรู้จักจับจ่ายใช้สอยอย่างถูกวิธี เลือกซื้อเฉพาะสินค้าหรือบริการที่จำเป็น และวางแผนการใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างเหมาะสม
ที่มา: