ออมและลงทุน
รู้จักกับตัวช่วย เพื่อบรรเทาปัญหาเงินขาดมือ
“การกู้เงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิต
นำบ้านและรถมาเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อ
เป็นตัวช่วยในการบรรเทาปัญหาเงินขาดมือ”
- K-Expert -
เมื่อเกิดปัญหาเงินขาดมือ หรือเงินที่มีไม่พอกับค่าใช้จ่าย
นอกจากการขอหยิบยืมจากคนใกล้ตัวแล้ว การขอสินเชื่อก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้
แต่เนื่องจากรูปแบบของสินเชื่อที่มีหลากหลาย ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า จะขอสินเชื่อแบบไหนดี
และมีการคิดอัตราดอกเบี้ยมากน้อยแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบมาฝากกันค่ะ
กู้เงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิต
หลายคนคงไม่ทราบว่า กรมธรรม์
ประกันชีวิตที่เรามี
หากมีมูลค่าเงินสดหรือมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้ว เราสามารถนำมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินได้
โดยทั่วไปมูลค่าเวนคืนจะเกิดขึ้นเมื่อชำระค่าเบี้ยเป็นเวลา 2 ปีขึ้นไป
และเราสามารถกู้ได้ไม่เกินมูลค่าเวนคืนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ทำประกันครบ 10 ปี ในตารางระบุมูลค่าเวนคืนเท่ากับ 90
หมายความว่า เงินเอาประกันภัย 1,000 บาท กรมธรรม์นี้มีมูลค่าเวนคืน 90 บาท ดังนั้น
ถ้าทำประกันโดยมีจำนวนเงินเอาประกันภัย 1 ล้านบาท จะมีมูลค่าเวนคืนเท่ากับ 90,000 บาท
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในการขอกู้เงินจากกรมธรรม์
อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทประกันคิดจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ที่หน้ากรมธรรม์ 2% เช่น
หน้ากรมธรรม์ระบุอัตราดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยของการกู้เงินกรมธรรม์จะเท่ากับ 6% ต่อปี ดังนั้น
การกู้เงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หากเราจำเป็นต้องการใช้เงิน
เพราะอัตราดอกเบี้ยนับว่าต่ำเมื่อเทียบกับเงินกู้แหล่งอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังคือ
หากเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยค้างชำระมีมูลค่ามากกว่าเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ในขณะนั้น
จะทำให้กรมธรรม์สิ้นผลบังคับซึ่งเท่ากับว่าความคุ้มครองจะหมดไปค่ะ
ใช้สินทรัพย์เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ
บ้านและรถนับว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงของคนเรา ในกรณีที่ขัดสนเงิน
หรือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน สามารถนำทรัพย์สินเหล่านี้มาแปลงเป็นเงินสด
สำหรับการนำบ้านมาเป็นหลักประกันเพื่อขอเงินกู้กับธนาคารนั้น ธนาคารจะให้วงเงินกู้ประมาณ 70-80% ของราคาประเมิน
โดยอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 7.5% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 ตุลาคม 2557) และเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก
โดยระยะเวลาการผ่อนของสินเชื่อประเภทนี้จะค่อนข้างสูงอยู่ที่ 15 ปี
ส่วนการนำรถมาเป็นหลักทรัพย์เพื่อขอสินเชื่อนั้น ปกติแล้ว
ธนาคารจะให้วงเงินประมาณ 80% ของราคาประเมิน โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)
ซึ่งปัจจุบันสูงสุดไม่เกิน 13% ต่อปี หรือถ้าคิดแบบลดต้นลดดอกจะอยู่ที่ประมาณ 23% ต่อปี และมีระยะเวลาผ่อนประมาณ
12-60 เดือน
การนำบ้านหรือรถซึ่งเป็นทรัพย์สินที่สำคัญของเรามาเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อนั้น ควรมั่นใจว่า
ตัวเรามีความสามารถในการชำระหนี้ เพราะหากไม่สามารถชำระหนี้ได้ บ้านหรือรถที่นำมาเป็นหลักประกันจะถูกยึดได้ค่ะ
กดเงินจากบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด
เมื่อต้องการเงินสด การกดเงินจาก
บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเป็นวิธีที่เราสามารถได้เงินมาอย่างง่ายดาย เพียงแค่เดินไปที่ตู้
ATM ก็จะได้เงินสดมาแล้ว แต่เพราะความสะดวก ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก และไม่มีอะไรมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ทำให้การกู้เงินหรือขอสินเชื่อด้วยวิธีนี้มีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 20-28% ต่อปี
โดยดอกเบี้ยจะถูกคิดนับตั้งแต่วันที่เรากดเงินจาก
บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด นอกจากนี้ การกดเงินจาก
บัตรเครดิตยังมีค่าธรรมเนียมในการกดอยู่ที่ 3% ของยอดเงินที่กดอีกด้วย
จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงแบบนี้ อยากให้การกดเงินจาก
บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเป็นทางเลือกลำดับท้ายๆ หากต้องการใช้เงินฉุกเฉินค่ะ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเงินขาดมือ การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ 6
เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้
โดยบัญชีที่ใช้เพื่อสำรองเงินเผื่อฉุกเฉินควรเป็นบัญชีที่แยกออกจากเงินที่ใช้จ่ายเป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่า
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นแล้ว จะได้มีเงินเพียงพอ ไม่ต้องไปหยิบยืมหรือขอสินเชื่อค่ะ