ออมและลงทุน
ทำความเข้าใจการลงทุนในธีมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร การรักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งธุรกรรมทางการเงิน ถ้าจะอธิบายความหมายของคำว่าเทคโนโลยีในมุมกว้าง นั่นก็คือ การนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเครื่องจักรกลหรือไม่ก็ได้ แต่ความน่าสนใจในยุคนี้คือ การที่เครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ในอดีตได้พัฒนาจนมีความสามารถคิดและตัดสินใจได้ใกล้เคียงมนุษย์ หรือที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)
ประโยชน์ของการนำเอาหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในธุรกิจไม่เพียงแต่ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นเพียงอย่างเดียว ยังมีนักลงทุนจำนวนมากที่เห็นประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ และเพื่อทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน K-Expert มีคำอธิบายและแนวทางการค้นหาหุ้นกลุ่มนี้แบบง่ายๆ ดังนี้
หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์คืออะไร? (Robotic and Artificial Intelligence)
ในอดีตหุ่นยนต์จะเป็นเพียงเครื่องจักรที่ทำตามคำสั่งของมนุษย์ เช่น ให้หุ่นยนต์มาประกอบรถยนต์ แต่ในปัจจุบันหุ่นยนต์ดังกล่าวได้มีการพัฒนายกระดับจนสามารถคิดและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์เพียงอย่างเดียว เราจึงเรียกเทคโนโลยีใหม่นี้ว่า หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (Robotic and Artificial Intelligence)
ยกตัวอย่างเช่น Intuitive Surgical Inc. ที่คิดค้นเทคโนโลยีการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ แพทย์จึงสามารถผ่าตัดได้แม่นยำมากขึ้นผ่านภาพ 3 มิติ ที่มีรายละเอียดสูง ทดแทนการเปิดบาดแผลและลดความเจ็บปวด ปัจจุบันโรงพยาบาลในเมืองไทยหลายแห่งก็มีการใช้ หุ่นยนต์ผ่าตัด (Robotic Surgery) เช่นเดียวกัน
ในส่วนของบริษัท Amazon ถึงจะไม่ได้ใช้หุ่นยนต์โดยตรง แต่ก็มีการนำเอา AI มาช่วยวิเคราะห์การรีวิวสินค้าแทนการใช้มนุษย์ หรือการสร้างระบบคุยโต้ตอบอัตโนมัติอย่าง Chatbot โดยระบบจะวิเคราะห์และตอบคำถามของลูกค้าให้ตรงประเด็น หรืออย่างบริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ก็ได้ใช้ AI มาช่วยจัดการโฆษณาบน Google โดยระบบจะวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งาน เพื่อส่งโฆษณาที่ผู้บริโภคสนใจเท่านั้น ช่วยเพิ่มยอดขายและลดโฆษณาที่ไปรบกวน นอกจากนั้นแล้วบริษัทลูกอื่นๆ ของ Alphabet ยังมีโครงการพัฒนาเทคโนโลยีอีกมากมาย เช่น รถไร้คนขับ (Autonomous car) เป็นต้น
ดังนั้นจึงอาจเรียกได้ว่า AI เป็นสมองอัจฉริยะที่สามารถคิดได้ด้วยตนเอง ในขณะที่หุ่นยนต์ในอดีตจะต้องมีมนุษย์ในการควบคุมและสั่งการ และหากเป็นการใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะก็จะเรียกรวมกันว่า “หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์”
วิธีการเลือกหุ้นหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ด้วยการพิจารณาดัชนี (Index)
ถึงแม้ว่าการลงทุนหุ้นหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์นั้นอาจจะเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย แต่ในอุตสาหกรรมทั่วโลกนั้นมีการใช้หุ่นยนต์มานาน โดยที่ยอดขายหุ่นยนต์ทั่วโลกมีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 12% (2011 –2016) (ที่มา IFR World Robotic 2017)
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทเหล่านี้โดยตรงนั้น K-Expert แนะนำให้พิจารณาจากหุ้นที่ถูกนำมาคำนวณเป็นจากดัชนี เช่น ดัชนี Indxx Global Robotics & Artificial Intelligence Thematic Index (IBOTZ) เนื่องจากบริษัทผู้จัดทำดัชนีอ้างอิงมักจะมีเกณฑ์มาตรฐานในการคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจมาคำนวณ เช่น เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสามารถเข้าซื้อขายได้ ไม่เคยถูกระงับการซื้อขาย เป็นต้น ทำให้นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นจำนวนมากในอุตสาหกรรมให้เหลือในปริมาณที่สามารถตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น
ดัชนี IBOTZ จะเน้นหุ้นในบริษัทที่ได้รับประโยชน์และมีการนำเอาหุ่นยนต์ AI มาใช้ ยกตัวอย่างเช่น Nvidia (NVDA) ผู้ผลิตการ์ดจอ โปรเซสเซอร์ของอุปกรณ์ ซึ่งมีผลการการประมวลผลกราฟิกของ GPUs (Graphics Processing unit) ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอเมริกา หรือ Intuitive Surgical Inc. (ISRG) ที่คิดค้นเทคโนโลยีการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ เป็นต้น
อัตราผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นและดัชนี
โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนทั่วโลกมักจะใช้ดัชนี MSCI ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงมาใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลตอบแทนเทียบกับการลงทุนของตนเอง สำหรับดัชนี MSCI นั้นมีหลายแบบ เช่น MSCI World ซึ่งเป็นการนำเอาหลักทรัพย์ทั่วโลกที่ผ่านเกณฑ์มาคำนวณ หรือ MSCI WORLD INFORMATION TECHNOLOGY INDEX (MSCI World Info Tech) ซึ่งเป็นของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจาก 23 ประเทศ เป็นต้น
จากตารางข้างต้น การลงทุนในหุ้น Nvidia (NVDA) ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยปีละ 70% ในขณะที่ MSCI WORLD ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 12% และ MSCI World Info Tech สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 19% เป็นต้น
ถึงแม้ว่าหุ้นที่ถูกนำมาคำนวณดัชนีจะมีความน่าสนใจในการเลือกลงทุน แต่หากดูค่า PE Ratio ซึ่งเป็นค่าที่นิยมใช้บอกความถูกแพงของราคาหุ้นนั้นจะพบว่า PE ของหุ้น Nvidia อยู่ที่ 56.01 เท่า ในขณะที่ค่า PE ของดัชนีทั่วโลก MSCI WORLD อยู่ที่ 21.59 เท่า จึงนับว่า หุ้น Nvidia ราคาแพงมาก
ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลักษณะของธุรกิจ และงบการเงิน ก่อนตัดสินใจลงทุนให้ละเอียด ไม่ควรดูเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนในอดีตเพียงอย่างเดียว
ในอนาคตการใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะเพิ่มสูงขึ้นในหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่อย่างเช่นประเทศจีน จากอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการแข่งขันด้านต้นทุนจะเปลี่ยนมาเป็นการเน้นสร้างมูลค่าแก่ผู้บริโภคอย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม นอกจากจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุนแล้ว ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับตัวเองได้ทันกับกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว