ออมและลงทุน
ทำความเข้าใจ ทำไม Bond Yield ถึงกระทบการลงทุน
“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงแรง หลัง Bond Yield ปรับขึ้นแตะระดับ 3%” ข่าวนี้เป็นข่าวที่นักลงทุนให้ความสนใจในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เพราะไม่เพียงแค่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงลงแรง ตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน ถ้ามองย้อนกลับไป การปรับขึ้นของ Bond Yield แล้วกระทบกับการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง ทำให้หลายคนคงสงสัยว่า Bond Yield คืออะไร แล้วการเปลี่ยนแปลงของ Bond Yield ส่งผลกระทบกับการลงทุนอย่างไร K-Expert มีคำตอบค่ะ
ทำความรู้จักกับ Bond Yield
Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลอายุต่างๆ สำหรับ Bond Yield ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจคือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10-year Treasury Yield)
จากกราฟแสดงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (ข้อมูล ณ 16 พฤษภาคม 2561) จะเห็นว่า อัตราผลตอบแทน หรือ Bond Yield ดังกล่าว ปรับตัวสูงขึ้นที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 โดยสามารถทะลุผ่านระดับ 3% ได้ สาเหตุที่ทำให้ Bond Yield ทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดี เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี จะส่งผลให้ความต้องการเงินทุนเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินก็จะปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ไขข้อสงสัยทำไมตลาดหุ้นปรับตัวลง เมื่อ Bond Yield เพิ่มสูงขึ้น
เมื่อ Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ความกังวลของนักลงทุนว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรง โดยก่อนที่ Bond Yield จะทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี นักลงทุนคาดการณ์กันว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2561 เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง แต่เมื่อ Bond Yield ทำ New High นักลงทุนเริ่มมองกันว่า ในปีนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง
สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น หากอัตราดอกเบี้ยค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดี กรณีนี้ถือว่า เป็นข่าวบวกสำหรับนักลงทุน แต่เมื่อไรที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แทนที่จะสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่เติบโตได้ดี จะเป็นตัวบั่นทอนการขยายตัวของกำไรบริษัทต่างๆ เพราะต้นทุนในการกู้ยืมเพื่อทำธุรกิจจะสูงขึ้น
นอกจากนี้ ในสายตาของนักลงทุน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนตราสารหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น หากการลงทุนหุ้นยังให้ผลตอบแทนโดยรวมไม่ต่างจากเดิม แต่การลงทุนตราสารหนี้กลับมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จึงทำให้เสน่ห์หรือความน่าสนใจของการลงทุนในตลาดหุ้นลดลงไป
สิ่งที่นักลงทุนควรทำเพื่อรับมือกับสถานการณ์ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น คือ ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่า การปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield จะส่งผลกระทบทางลบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ โดยหากกำไรของบริษัทฯ ยังมีทิศทางขยายตัวในระดับที่ไม่แตกต่างจากเดิม หรือมากขึ้นจากเดิม การเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่เป็นตัวสะท้อนว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ในทิศทางที่ดี
ตราสารหนี้ก็ได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ด้วยเช่นกัน
Bond Yield ที่สูงขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นแล้ว ยังมีผลกับราคาตราสารหนี้อีกด้วย โดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้เคลื่อนไหวสวนทางกับราคาตราสารหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ตราสารหนี้ที่มีอยู่เดิมมีความน่าสนใจน้อยกว่าตราสารหนี้ที่ออกใหม่ เพราะตราสารหนี้ที่ออกใหม่ให้ดอกเบี้ยที่ดีขึ้นจากเดิม ดังนั้นราคาของตราสารหนี้ฉบับเดิมจึงปรับลดลง
นอกจากนี้ เมื่อ Bond Yield ของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นตาม (เพื่อป้องกันไม่ให้เงินลงทุนไหลออกจากประเทศของตนเองไปยังสหรัฐฯ) ส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้ต่างๆ ปรับลดลง
เมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลของไทยสูงขึ้นตาม Bond Yield ของสหรัฐฯ ราคาของตราสารหนี้ของไทยที่ซื้อขายกันในตลาดตราสารหนี้จึงปรับตัวลดลง ผู้ที่ลงทุนกองทุนตราสารหนี้จึงมีโอกาสพบกับสถานการณ์ที่ราคา NAV ของกองทุนปรับตัวลงในช่วงที่ Bond Yield สูงขึ้น แต่เมื่อลงทุนไประยะหนึ่งซึ่งกองทุนได้รับดอกเบี้ยจากการลงทุนตราสารหนี้เข้ามา จะช่วยให้ผลตอบแทนโดยรวมของกองทุนกลับมาเป็นบวกได้ ดังนั้นผู้ที่ลงทุนกองทุนตราสารหนี้ จึงไม่ควรตกใจหรือรีบเทขายกองทุน เมื่อ Bond Yield ปรับเพิ่มสูงขึ้น
คำว่า “Bond Yield” ดูจะเป็นคำศัพท์ที่ใหม่สำหรับนักลงทุนหลายๆ คน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากในการศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้เราลงทุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น K-Expert เชื่อว่า ในโลกของการลงทุนจะมีเครื่องมือทางการเงิน สถานการณ์ใหม่ๆ ที่นักลงทุนไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น หรือสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ การทำความเข้าใจสิ่งที่เราลงทุน และสถานการณ์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคนค่ะ