ออมและลงทุน
ส่องโอกาสรวยด้วยกองทุนรวมดัชนีหุ้นต่างประเทศ
ในช่วงตลาดหุ้นไทยกำลังผันผวนแบบนี้ หากใครกำลังมองหาช่องทางการปรับพอร์ตลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงหรือแสวงหาอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากเดิม อาจจะนึกถึงการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่นักลงทุนมักจะมองว่า ค่าธรรมเนียมในการลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้นค่อนข้างแพง การปรับพอร์ตหรือทำกำไรระยะสั้นในช่วงตลาดหุ้นผันผวนอาจจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย นอกจากนี้นักลงทุนบางท่านอาจจะกังวลว่า การลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องยากเพราะแทบไม่มีข้อมูลว่าผู้จัดการกองทุนบริหารเก่งหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างไร แต่ตอนนี้เราสามารถลืมปัญหานี้ไปได้เลยครับ เพราะ K-Expert จะมาแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมดัชนีหุ้นต่างประเทศแบบที่ทั้งง่ายและสะดวก ที่สำคัญคือประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้วยครับ
การลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่เน้นที่จะสร้างผลตอบแทนเพื่อที่จะเอาชนะตลาด จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นต่างประเทศ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) มีจุดเด่นที่ค่าธรรมเนียมการจัดการซึ่งประหยัดกว่ากองทุนแบบ Active เพราะไม่จำเป็นต้องจ้างผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์จำนวนมากเพื่อบริหารพอร์ตการลงทุนในการสร้างผลตอบแทนสูงๆ เพื่อชนะดัชนีอ้างอิง นอกจากนี้กองทุนรวมดัชนียังมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ต่ำกว่า เพราะลักษณะการลงทุนเป็นแบบซื้อและถือ (Buy and Hold) เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุนของหุ้นในพอร์ตให้ใกล้เคียงกับดัชนีเท่านั้น จึงทำให้ความถี่ในการปรับพอร์ตน้อยกว่ากองทุนแบบ Active ทั่วไป
ในประเทศไทยกองทุนรวมดัชนีหุ้นที่นักลงทุนรู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น กองทุนรวม SET50 ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 50 ตัว เพื่อเลียนแบบอัตราผลตอบแทนของดัชนี SET50 แต่ถ้าในต่างประเทศแล้ว ยังมีกองทุนรวมดัชนีหุ้นอีกมากมายที่น่าสนใจ เช่น กองทุนดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq 100 ของสหรัฐอเมริกา กองทุนดัชนี TOPIX ของญี่ปุ่น หรือกองทุนดัชนี EURO STOXX 50 ของยุโรป เป็นต้น สำหรับจุดเด่นที่น่าสนใจของกองทุนรวมดัชนี มีอยู่ 3 ข้อคือ
1) การกระจายความเสี่ยง
เนื่องจากกองทุนรวมดัชนีต้องลงทุนในหลักทรัพย์ทุกตัวที่กองทุนรวมดัชนีไปเลียนแบบมา ดังนั้นกองทุนจึงลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนหลายตัวและหลากหลายอุตสาหกรรม จึงเป็นกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่สามารถคาดหวังได้จากกองทุน ซึ่งเท่ากับหรือใกล้เคียงดัชนีชี้วัดที่กองทุนอ้างอิงอยู่นั่นเอง เนื่องจากกองทุนดัชนีมีกลยุทธ์การลงทุนเพื่อเลียนแบบดัชนีอ้างอิงโดยเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด
2) ประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม
แนวทางการลงทุนของกองทุนดัชนีมีลักษณะเป็นแบบ Passive คือซื้อและถือ (Buy and Hold) เพราะกองทุนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องทำผลตอบแทนชนะตลาด ดังนั้นค่าธรรมเนียมในการปรับพอร์ตลงทุนจึงต่ำกว่ากองทุนหุ้นแบบ Active Fund นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนยังแทบไม่ต้องค้นหาวิเคราะห์หุ้น หรือเยี่ยมกิจการพบผู้บริหารบริษัทต่างๆ หาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด ทำให้ค่าบริหารการจัดการของกองทุนดัชนีค่อนข้างต่ำ นักลงทุนเลยได้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปด้วย ที่สำคัญคือกองทุนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Front End Fee) แต่จะเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อและขายเป็น Brokerage Fee แทนที่อัตรา 0.15% ทำให้นักลงทุนประหยัดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการลงทุนได้มากกว่า
3) สะดวกในการลงทุนและง่ายในการติดตาม
การลงทุนในกองทุนดัชนีนั้นมีนโยบายการลงทุนที่ผู้ลงทุนสามรถเข้าใจได้ง่ายและยังสามารถมองเห็นภาพพอร์ตการลงทุนของกองทุนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังสะดวกในการเลือกลงทุน เพราะนักลงทุนไม่จำเป็นต้องพิจารณาความสามารถของผู้จัดการกองทุนเหมือนกองทุนแบบ Active ทั่วไป นอกจากนี้กองทุนดัชนีมีนโยบายการลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิงตลอดเวลา คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงสามารถติดตามการลงทุนได้ง่ายอีกด้วย
สุดท้ายนี้ถึงแม้การกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่นักลงทุนก็ควรระวังปัจจัยความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เพราะจะทำให้ผลตอบแทนผันผวนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ดังนั้นการเลือกกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีครับ