จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำดีไหม คิดดอกเบี้ยอย่างไร พร้อมวิธีใช้บัตรเครดิต

การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ คือการจ่ายค่าบัตรเครดิตในจำนวนเงินขั้นต่ำ โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 5-10% ของจำนวนเงินที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในใบแจ้งยอดบัตรเครดิต

ซึ่งจะแตกต่างจากการจ่ายค่าบัตรเครดิตเต็มจำนวน ที่เป็นการชำระยอดเงินทั้งหมดที่เรียกเก็บในรอบบิลนั้น ภายในวันที่กำหนด โดยไม่ต้องเหลือยอดค้างชำระให้ต้องจ่ายในเดือนถัดไป

แม้ว่าการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำจะช่วยให้สามารถรักษาสถานะการชำระเงินที่ดี และหลีกเลี่ยงค่าปรับได้ แต่ถ้าจ่ายขั้นต่ำในระยะยาว ก็จะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยอดหนี้เองก็เพิ่มเรื่อยๆ และหนี้ก็จะไม่หมดไปสักทีนั่นเอง ดังนั้น ถ้าเลือกที่จะจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ เราต้องมีวินัยในการชำระให้มากที่สุด

เพื่อให้เห็นภาพ และเข้าใจเกี่ยวกับการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำมากยิ่งขึ้น มาดูตัวอย่าง ดังนี้

ถ้าคุณมียอดเงินคงเหลือในบัตรเครดิตอยู่ที่ 30,000 บาท และธนาคารกำหนดมาแล้วว่าจำเป็นต้องชำระขั้นต่ำที่ 10% ของยอดคงเหลือ หมายความว่าคุณต้องจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำอยู่ที่ 30 X 10% = 3,000 บาท

นั่นหมายความว่า ถ้าจ่ายบัตรเครดิตเฉพาะขั้นต่ำไปแล้ว 3,000 บาท คุณจะยังเหลือหนี้บัตรเครดิตที่ต้องชำระอีก 27,000 บาท ซึ่งยอดนี้จะถูกคิดดอกเบี้ยในเดือนถัดไป ตามอัตราที่ธนาคารกำหนดอีกครั้งนั่นเอง

หลังจากที่ผู้ใช้บัตรเครดิตจ่ายขั้นต่ำไปแล้ว สามารถคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตได้ด้วย 2 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ยจากรายการใช้จ่ายทั้งหมด คำนวณโดยใช้สูตรดังนี้

ยอดเงินที่ใช้ไป x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันที่ค้างชำระ) / 365

เช่น จำนวนยอดเงินที่ใช้ไป 30,000 บาท มีอัตราดอกเบี้ย 10% ต่อปี และใช้บัตรตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 25 ของเดือน (25 วัน) สามารถคำนวณได้ว่า

(30,000 x 10% x 25) / 365 = ดอกเบี้ยประมาณ 205.48 บาท

ขั้นตอนที่ 2 คิดอัตราดอกเบี้ยจากเงินคงเหลือหลังจากจ่ายขั้นตอนที่ 1 ไปแล้ว โดยใช้สูตรดังนี้

[(ยอดเงินที่ใช้ไป – จำนวนเงินขั้นต่ำที่ชำระไปแล้ว) x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันที่ค้างชำระ] / 365

เช่น หลังจากที่จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำไปแล้ว 3,000 บาท ต้องคำนวณดอกเบี้ยจากยอดคงค้างนี้จนถึงวันสรุปยอดถัดไป และสมมุติว่าจำนวนวันจากวันที่ชำระขั้นต่ำจนถึงวันสรุปยอดถัดไปคือ 16 วัน คำนวณได้ ดังนี้

[(30,000 - 3,000) x 10% x 16] / 365 = ดอกเบี้ยประมาณ 118.36 บาท

หลังจากคำนวณขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 เรียบร้อยแล้ว สามารถนำมาคิดรวมกับยอดเงินที่ต้องชำระคงเหลือได้ (27,000 บาท) ดังนี้

27,000 + 205.48 + 118.36 = ประมาณ 27,323.84 บาท

การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำยังถูกพูดถึง พร้อมเป็นข้อถกเถียงอยู่มากว่ามีข้อดี หรือข้อเสียมากกว่ากัน บทความนี้จึงได้รวบรวมเอาข้อดี และข้อเสียของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำมาไว้ให้แล้ว ดังนี้

ข้อดีของการจ่ายบัตร

• แบ่งเบาภาระหนี้สินในแต่ละเดือน โดยสามารถเลือกผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตเพียงจำนวนเงินขั้นต่ำที่กำหนดเท่านั้น แล้วนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
• ไม่ต้องชำระหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากในคราวเดียว ทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินในเดือนนั้นมากยิ่งขึ้น

ข้อเสียของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ

• นอกจากจะต้องจ่ายยอดเงินที่รูดใช้จ่ายผ่านบัตรแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการจ่ายขั้นต่ำเพิ่มอีกด้วย
• หากจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำทุกเดือน ยอดหนี้และดอกเบี้ยจะยิ่งเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหนี้ก้อนโต ทำให้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะชำระหนี้ได้หมด

อย่างไรก็ตาม การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ยอดหนี้คงค้างจะมีมากขึ้นทุกเดือน และใช้เวลายาวนานกว่าจะชำระหนี้ได้หมด แถมมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะถูกปรับลดวงเงินเครดิตอีกด้วย ผู้ใช้บัตรเครดิตจึงควรวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และชำระเกินกว่าจำนวนขั้นต่ำเสมอ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และระยะเวลาการชำระหนี้นั่นเอง

การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำในระยะสั้น เพื่อแบ่งเบาภาระรายเดือนไปก่อน ไม่ได้ส่งผลให้เป็นหนี้สะสม หรือทำให้หนี้เยอะขึ้นจนจ่ายไม่ไหว แต่ถ้าผู้ใช้บัตรเครดิตจ่ายขั้นต่ำเป็นระยะเวลายาวนานอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าอาจส่งผลให้เกิดเป็นหนี้สะสมในอนาคตได้เช่นกัน เพราะเมื่อจ่ายบัตรเครดิตแบบขั้นต่ำ จะทำให้ดอกเบี้ยสะสมมากยิ่งขึ้น ดอกเบี้ยก็สูงขึ้น ยอดหนี้เองก็จะเพิ่มขึ้นตาม

เห็นกันไปแล้วว่าการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าวางแผนการชำระหนี้อย่างรอบคอบ และรัดกุม มาดูวิธีใช้บัตรเครดิตให้เหมาะสม วิธีจ่ายบัตรเครดิตให้คุ้มค่า ให้การเงินคล่องตัวกัน!

1. วางแผนการใช้เงินให้ชัดเจน

เมื่อใช้บัตรเครดิตแล้ว ควรกำหนดงบประมาณการใช้บัตรอย่างเหมาะสม และวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ โดยการกำหนดจำนวนเงินที่สามารถใช้จ่ายได้ในแต่ละเดือน แล้วบันทึกรายการใช้จ่ายกันลืม ถ้าเดือนไหนจ่ายบัตรเครดิตไม่ไหว ก็ลองจ่ายขั้นต่ำไปก่อน ถ้าทำตามวิธีนี้ จะทำให้ควบคุมการใช้จ่ายได้ดีขึ้น ทำให้การเงินคล่องตัว และลดความเสี่ยงในการใช้จ่ายเกินกำลังอีกด้วย

2. ตรวจสอบบิลบัตรเครดิตอยู่เสมอ

ผู้ใช้บัตรเครดิตควรตรวจสอบรายการใช้จ่าย และยอดเงินที่ต้องชำระในแต่ละเดือน ทั้งยอดขั้นต่ำ และยอดเต็มจำนวน รวมถึงไม่ลืมที่จะตั้งแจ้งเตือนในโทรศัพท์ เพื่อเตือนให้ตรวจสอบบิล เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้สามารถติดตามการใช้จ่าย และป้องกันการเรียกเก็บเงินผิดพลาด ทำให้การเงินมีความโปร่งใส และคล่องตัวมากขึ้น

3. มีเงินสำรองไว้ชำระค่าบัตร

ควรมีเงินเก็บ หรือเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าบัตรเครดิตขั้นต่ำ หรือมากกว่านั้น ทำได้โดยการเก็บเงินเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และควรตั้งเป้าหมายในการเก็บเงินทุกเดือนเพื่อใช้ชำระหนี้ เพราะการมีเงินสำรองจะช่วยคลายกังวลการชำระหนี้ในช่วงที่ไม่สะดวกลงได้ และยังเพิ่มความมั่นคงทางการเงินได้มากขึ้นด้วย

4. ใช้จ่ายเฉพาะยามจำเป็น

ควรจำกัดการใช้งานบัตรเครดิตแค่เฉพาะการใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้า หรือบริการ ที่เห็นว่าจำเป็นเท่านั้น ก่อนใช้จ่ายในแต่ละครั้ง ควรถามตัวเองให้ดีก่อนว่า การใช้จ่ายนี้จำเป็นมากน้อยแค่ไหน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ควบคุมการใช้จ่ายได้ดีขึ้น และลดโอกาสเกิดหนี้ได้อีกด้วย

5. รู้จักใช้คะแนนสะสม

บัตรเครดิตมักมาพร้อมกับคะแนนสะสมจากการใช้จ่ายบัตร ผู้ถือบัตรสามารถนำคะแนนเหล่านั้น ไปแลกเป็นของรางวัล รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ ดังนั้น เมื่อเลือกใช้บัตรเครดิต ควรเลือกบัตรที่มีสิทธิประโยชน์ในการสะสมคะแนนที่ตรงกับไลฟ์สไตล์เราที่สุด

สำหรับใครที่ใช้บัตรเครดิตจนมีหนี้เกินตัว จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำคงไม่หมดไปง่ายๆ มาดูวิธีจัดการเมื่อเป็นหนี้บัตรเครดิตเยอะ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการใช้จ่ายในการแบ่งเบาภาระหนี้กัน!

1. หยุดสร้างหนี้เพิ่ม

ถ้ามีหนี้บัตรเครดิตเยอะมากแล้ว สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือการหยุดสร้างหนี้เพิ่ม ไม่ใช้บัตรเครดิต หรือการกู้ยืมเงินใหม่ในช่วงที่มีหนี้อยู่ แล้วหันมาใช้จ่ายผ่านเงินสดมากขึ้น พร้อมตั้งเป้าหมายชำระหนี้ที่มากกว่าการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ วิธีนี้จะช่วยให้ลดความเครียดจากการเห็นจำนวนหนี้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งทำให้การเงินกลับมามีสภาพคล่องมากขึ้น

2. ตรวจสอบการจ่ายบัตรเครดิตตัวเอง

ควรติดตามการใช้จ่ายบัตรเครดิต รวมถึงประเมินการใช้จ่ายในแต่ละเดือน ด้วยการบันทึกติดตามค่าใช้จ่าย และนำมาตรวจสอบ เปรียบเทียบกับงบประมาณ ว่าอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมไหม ถ้าทำตามวิธีนี้ จะทำให้ผู้ถือบัตรปรับลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออกไป และยังช่วยลดหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

3. มองหาสินเชื่อรวมหนี้

สินเชื่อรวมหนี้ คือการรวมหนี้หลายรายการเข้าด้วยกันเป็นก้อนเดียว เพื่อลดภาระอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ควรเลือกสินเชื่อที่เหมาะสม เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขต่างๆ รวมถึงประเมินตัวเองว่าจะชำระหนี้ใหม่ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไหม ซึ่งการใช้สินเชื่อรวมหนี้เข้าช่วย มีโอกาสที่จะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าหนี้เดิม ทำให้ลดภาระการจ่ายดอกเบี้ย และช่วยให้การเงินคล่องตัวมากขึ้น

ดังนั้น การจ่ายค่าบัตรเครดิตในจำนวนเงินขั้นต่ำ คือ การจ่ายค่าบัตรเครดิตจำนวนเงินขั้นต่ำ จากยอดทั้งหมดที่ใช้จ่ายไปในรอบบิล โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 5-10% ของจำนวนเงินที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในใบแจ้งยอดบัตรเครดิต ซึ่งจะแตกต่างจากการจ่ายค่าบัตรเครดิตเต็มจำนวน ที่เป็นการชำระยอดเงินทั้งหมดที่เรียกเก็บในรอบบิลนั้น ภายในวันที่กำหนด โดยไม่ต้องเหลือยอดค้างชำระให้ต้องจ่ายในเดือนถัดไป

จุดประสงค์ที่แท้จริงของบัตรเครดิต คือ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่าย และหากใช้งานบัตรเครดิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดจริงๆ จะได้รับทั้งความสะดวก และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ธนาคารมอบให้อีกด้วย โดยเราสามารถเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในการใช้จ่ายได้ หากสนใจสามารถดูรายละเอียดบัตรเครดิตจากธนาคารกสิกรไทยเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นสายช็อปออนไลน์ หรือช็อปหน้าร้าน สายท่องเที่ยว หรือสายตะลุยกิน ก็มีบัตรที่เหมาะสม และยังมีโปรโมชัน พร้อมสิทธิพิเศษอีกมากมายรอคุณอยู่!