ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 ข่าวการเปิดประเทศได้ปลุกชีพตลาดหุ้นจีนที่ซบเซามาเกือบ 2 ปีขึ้นอีกครั้ง ทำให้หุ้นจีนปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงปลายเดือนตุลาคม มาทำจุดสูงสุดในเดือนมกราคม โดยหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (ดัชนี HSCEI) พุ่งขึ้นถึงเกือบ 60% ส่วนหุ้นที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ (ดัชนี CSI300) ให้ผลตอบแทนราวๆ +20% แต่แล้ว...ดูเหมือนว่าปัจจัยบวกดังกล่าวได้หมดแรงที่จะผลักดันให้ตลาดหุ้นไปต่อ ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ดัชนี HSCEI และ CSI300 ปรับตัวลง -11% และ -2% ตามลำดับ
และในตอนนี้ เหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาว่าจะมาเป็นความหวังใหม่ของตลาดหุ้นจีนก็คือ การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People's Congress หรือ NPC) ที่ได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม จนถึงวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งทีมบริหารระดับสูงของจีนจะแถลงทิศทางการดำเนินนโยบาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การฑูต ตลอดจนด้านเทคโนโลยี และในวันสุดท้ายจะมีถ้อยแถลงด้านนโยบายจากรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของปธน. สี จิ้นผิง ในสมัยที่ 3
ประเด็นแรกที่น่าสนใจจากการประชุม คือ รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมาย GDP ปี 2023 ที่ราวๆ 5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างระมัดระวังเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ 5.2% หลังจากที่จีนพลาดเป้าหมายการเติบโตที่ 5.5% ในปีที่แล้ว ซึ่ง GDP ปี 2022 ออกมาเพียง 3% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจช่วงต้นปีนี้หลังยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ พบว่ากิจกรรมเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีในหลายภาคส่วน ทั้งการคมนาคมที่กลับมาสู่ระดับก่อนโควิดแล้ว ดัชนีภาคการผลิตที่อยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2012 ด้านภาคบริการฟื้นตัวได้ดีเช่นกัน ส่วนยอดขายบ้านที่เคยอ่อนแอก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ในหัวเมืองใหญ่ จึงประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่ยาก
ด้านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีความจำเป็นน้อยลงในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีหลังเปิดประเทศ แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผ่อนคลายเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ด้านนโยบายการเงินแม้จะมีโอกาสน้อยที่ธนาคารกลางจีน (PBoC) จะลดดอกเบี้ย แต่ก็มีโอกาสที่จะลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงหากจำเป็น ส่วนนโยบายการคลัง ทางการจีนตั้งเป้าหมายงบประมาณขาดดุลที่ 3% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.8% รวมถึงตั้งเป้าการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3.8 ล้านล้านหยวน
ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ คือ ในการประชุมไม่ได้พูดถึงข้อความ “บ้านมีไว้เพื่ออยู่อาศัยไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร" ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้มีการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม ส่วนด้านเทคโนโลยี ยังคงตอกย้ำให้จีนพึ่งพาตนเองได้ พร้อมทุ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการผลิตชิป ตลอดจนให้สิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทเอกชนที่ใช้จ่ายด้านนี้
สำหรับคำแนะนำการลงทุน ยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นจีน โดยเน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Shares) ที่มีปัจจัยสนับสนุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในช่วงนี้หุ้นจีนมีปัจจัยบวกโดยตรงจากการประชุมสภาประชาชนจีน อ้างอิงข้อมูลในอดีตตลาดหุ้นจีนมักปรับตัวขึ้นได้ดี ในช่วง 1 เดือนหลังการประชุม หนุนจากความหวังของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล โดยหุ้นกลุ่มอสังหาฯ สาธารณูปโภค รวมถึงบริษัทรัฐวิสาหกิจมักให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด
นอกจากนั้น ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.75% ในปีนี้ โดยล่าสุดตลาดคาดดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 5.50-5.75% สูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ สะเทือนตลาดการเงินทั่วโลก แต่ด้วยเงินเฟ้อจีนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และทางการจีนเน้นย้ำการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งผู้ลงทุนในตลาดหุ้นยังมีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยชาวจีนสูงกว่า ทำให้หุ้นจีน A-Shares มี ความสัมพันธ์ตามตลาดหุ้นโลกจำกัด
หากมองไปในระยะยาว ด้วยศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว หนุนจากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำให้จีนสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากอุปสงค์ในประเทศ ตลอดจนความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหุ้นจีนคือหนึ่งในขุมทรัพย์ลงทุนชิ้นสำคัญไม่แพ้หุ้นโลก
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ