​เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญกับเวียดนามผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social โดยมีสาระสำคัญคือ การเปิดทางให้สินค้าจากสหรัฐฯ สามารถเข้าสู่เวียดนามได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ขณะที่สินค้าจากเวียดนามที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 20% และในกรณีที่เป็นสินค้าจากประเทศที่สามที่ส่งผ่านเวียดนามก่อนเข้าสหรัฐฯ จะถูกจัดเก็บภาษีสูงถึง 40% 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเผยแพร่จดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าฉบับใหม่ต่อประเทศคู่ค้าจำนวน 14 ประเทศ โดยมีทั้งประเทศที่ได้รับการลดหย่อนภาษี เช่น ลาว เมียนมา และกัมพูชา และประเทศที่ยังคงต้องเผชิญภาระภาษีในระดับสูง เช่น ไทย ที่ยังคงถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36%​

ข้อตกลงนี้ไม่เพียงสะท้อนท่าทีเชิงรุกด้านการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของยุทธศาสตร์การค้าสหรัฐฯ ที่ผูกโยงอยู่กับอำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน แม้จะดูเหมือนเป็นชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์ในระยะสั้น แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเสี่ยงเชิงโครงสร้างในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์ทางการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในอนาคต

ผลกระทบต่อตลาดทุนเริ่มปรากฏอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือ การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการพุ่งขึ้นของดัชนี S&P 500 จนทำให้เกิดคำถามในหมู่นักลงทุนว่า แรงหนุนของตลาดหุ้นในเวลานี้เกิดจากพื้นฐานเศรษฐกิจจริง ๆ หรือเป็นเพียงผลของการเคลื่อนไหวทางค่าเงินที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงดูน่าดึงดูดมากขึ้นเมื่อวัดในรูปของดอลลาร์

เมื่อลองพิจารณาดัชนี S&P 500 ในรูปของสกุลเงินหลักอื่น เช่น ยูโร หรือเยน จะพบว่าดัชนียังไม่สามารถกลับไปถึงระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ได้ นั่นหมายความว่า ความมั่งคั่งของนักลงทุนที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นในเชิงดอลลาร์สหรัฐฯ อาจเป็นเพียงภาพลวงตาทางบัญชี ไม่ใช่ผลตอบแทนที่แท้จริงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ในขณะที่ตลาดหุ้นโลกเคลื่อนไหวอยู่ในโหมด “risk-on" โดยตีความข้อตกลงทางการค้าเป็นสัญญาณบวก ความเป็นจริงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกกลับเต็มไปด้วยความกังวล ตัวเลขการจ้างงานเดือนมิถุนายนที่ออกมาสูงกว่าคาดแม้จะถูกมองเป็นข่าวดีในระยะสั้น แต่เมื่อลองเจาะลึกจะพบว่า ตัวเลขอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น ADP Employment Report ซึ่งสะท้อนการจ้างงานภาคเอกชน กลับลดลงอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน อัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมก็อยู่ในแนวโน้มชะลอตัว

หากพิจารณาภาพรวมของข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะพบว่าข้อมูลจำนวนหลายภาคส่วนมีลักษณะ “เซอร์ไพรส์ในเชิงลบ" ซึ่งขัดแย้งกับความเคลื่อนไหวของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า นักลงทุนกำลังตีความปัจจัยข่าวที่ดีเกินจริง และละเลยสัญญาณพื้นฐานทางเศรษฐกิจหนึ่งในประเด็นที่กลับมาเป็นที่พูดถึงมากขึ้นคือความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ “stall" หรือระดับที่การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลงจนไม่สามารถรักษาโมเมนตัมไว้ได้ ซึ่งในอดีตเคยเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ภาวะถดถอยมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อการบริโภคภาคครัวเรือนเริ่มลดแรงขับเคลื่อน ขณะที่ภาคธุรกิจยังคงระมัดระวังเรื่องการลงทุน

แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในเชิงเทคนิค แต่ก็ไม่สามารถตีความได้อย่างตรงไปตรงมาว่าเศรษฐกิจกำลังแข็งแรง หากแต่เป็นผลลัพธ์ของการอ่อนค่าของดอลลาร์ ผสมกับแรงซื้อเชิงจิตวิทยาที่ได้รับอิทธิพลจากข่าวข้อตกลงทางการค้า คำถามสำคัญที่นักลงทุนควรถามอาจไม่ใช่ “ตลาดจะขึ้นไปได้อีกแค่ไหน?" แต่ควรเป็น “การขึ้นครั้งนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่?" ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกไม่นานนักก่อนที่คำตอบจะปรากฏอย่างชัดเจน

ในอีกมุมหนึ่ง ข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่นี้กลับอาจเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจเวียดนาม หลังจากที่ประเทศเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในปีก่อน และความไม่แน่นอนเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในภูมิภาค ตลาดคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 อาจขยายตัวได้ราว 6-7% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าเศรษฐกิจโลกและตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ ตลาดหุ้นเวียดนามจึงอาจเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตระยะยาว ภายใต้ภูมิทัศน์การค้ารูปแบบใหม่ที่ยังเต็มไปด้วยความผันผวน

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

​​