Sign In

KBank Private Banking
02-8888811

Market updates

อ่านเกมเศรษฐกิจจากสัญญาณใหม่ในตลาดแรงงานสหรัฐฯ

15 สิงหาคม 2568

​ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนให้ความสนใจข้อมูลจ้างงานล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ได้รับการปรับปรุงให้สะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากตัวเลขเบื้องต้น (Initial estimate) โดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-farm Payrolls: NFP) ที่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาดแรงงานและส่งผลโดยตรงต่อทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ Fed

ในการประกาศตัวเลข NFP ของสหรัฐฯครั้งล่าสุดประจำเดือนกรกฎาคม 2025 มีจำนวนการจ้างงานปรับเพิ่มขึ้นเพียง +73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ +105,000 ตำแหน่ง ขณะที่ตัวเลขเดือนก่อนหน้านี้ (มิถุนายน) ถูกปรับลดลงจากเดิม +147,000 ตำแหน่ง เหลือเพียง +14,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการปรับลดอย่างมีนัยสำคัญและตอกย้ำว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนแรงลงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ นอกจากนี้ อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เดือนกรกฎาคมยังปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.2% สะท้อนการดิ่งลงของภาวะการจ้างงานที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี

การปรับตัวเลขการจ้างงานย้อนหลัง (Revisions) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระบบสถิติของสหรัฐฯ แต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้นในครั้งนี้คือ “ขนาด" ของการปรับลดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และความถี่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การประมาณการเบื้องต้นคลาดเคลื่อนสูงขึ้น ได้แก่ ความล่าช้าในการรวบรวมข้อมูลจริงจากบริษัทขนาดเล็ก-กลาง (SMEs) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงาน เช่น Gig economy ที่เก็บข้อมูลยาก และอิทธิพลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิดที่ทำให้ตลาดแรงงานบิดเบือนชั่วคราว

ในอดีต แม้จะมีการปรับตัวเลขย้อนหลังอยู่บ้าง แต่การปรับลดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2023-2024 ถือว่าผิดปกติเมื่อเทียบกับช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา มีการปรับลดตัวเลข NFP ย้อนหลังเกินกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง ถือเป็นขนาดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 จึงอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า แรงส่งของตลาดแรงงานที่เคยร้อนแรง กำลังอ่อนแรงลงแล้วก็เป็นได้ 

แม้ว่าตลาดแรงงานจะเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังคงเติบโตได้ด้วยแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังแข็งแกร่งจากรายได้ครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้น ดัชนียอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายนยังขยายตัว +0.6% MoM สูงกว่าคาดที่ +0.1% แต่ในภาพรวม รายจ่ายด้านสินค้าคงทนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวตามภาวะสินเชื่อที่ตึงตัว

ตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการปรับลดตัวเลขการจ้างงาน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) รัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดจากระดับสูงกว่า 4.4% ลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 4.1-4.2% ในช่วงต้นไตรมาส 3 เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า Fed อาจต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์เดิมหลังตลาดแรงงานอ่อนแอ

แม้ข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดจะเพิ่มแรงกดดันให้ Fed ต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ Fed ยังคงจับตามองคือ “เงินเฟ้อ" โดยเฉพาะธุรกิจด้านบริการและค่าเช่าบ้านที่ยังคงปรับตัวลดลงอย่างช้า ๆ หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) สามารถชะลอตัวลงใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% อย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ก็จะเพิ่มโอกาสที่ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้ อย่างไรก็ตาม KWealth CIO Office คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงราว 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเริ่มหั่นครั้งแรกได้ในรอบประชุมเดือนกันยายนนี้ หลังจากแรงกดดันจากตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อที่ทยอยชะลอลง 

ในขณะที่ภูมิภาคอื่นๆเช่นยุโรป หรือเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ล้วนแล้วแต่ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศหลังปัญหาด้านเงินเฟ้อได้คลี่คลายแล้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนตลาดทุนหลังต้นทุนทางการเงินเริ่มปรับลดลงชัดเจน

ดังนั้น เราแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนโดยเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้ระยะยาวที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงหากดอกเบี้ยนโยบายลดลงและกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงตามได้อย่างต่อเนื่อง โดยเรายังเน้นการลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพที่ดีเช่นพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูง รวมทั้งเน้นการลงทุนในสหรัฐฯ และเอเชีย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายการเงินที่มีแนวโน้มผ่อนคลายดังกล่าวข้างต้น

สุดท้ายนี้ นักลงทุนควรตระหนักว่า “ความผันผวนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าปล่อยให้ความผันผวนระยะสั้นทำให้หลุดจากเส้นทางการลงทุนระยะยาว" ในสภาวะตลาดส่วนใหญ่ การถือเงินสดหรือการหลีกเลี่ยงการลงทุนอาจดูปลอดภัยในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับทำให้พลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินเฟ้อได้ ดังนั้น การลงทุนอย่างสม่ำเสมอผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีระบบ จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

หากวันนี้นักลงทุนยังไม่มีพอร์ตการลงทุนที่ตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว เราแนะนำให้เริ่มลงทุนด้วยการสร้างพอร์ตการลงทุนหลัก (Core portfolio) ที่เน้นความสมดุลระหว่างสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และสินทรัพย์ปลอดภัยเช่น ตราสารหนี้ ผ่านกองทุนรวมประเภท Global balanced fund โดยอาศัยการบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา อีกหนึ่งธีมการลงทุนที่มีศักยภาพโดดเด่นในภูมิภาคเอเชีย นั่นก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม โดย KWealth CIO Office มีมุมมองเชิงบวกต่อโอกาสการลงทุนในเวียดนาม จากปัจจัยหนุนเชิงโครงสร้าง อาทิ การย้ายฐานการผลิตจากประเทศพัฒนาแล้วมายังเวียดนาม ซึ่งช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรวัยแรงงานที่ยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวเป็นสัดส่วนสูง ทำให้เวียดนามมีศักยภาพขยายตัวทั้งในมิติของอุปสงค์ภายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว ดังนั้นตลาดหุ้นเวียดนามจึงเป็นหนึ่งใน “Satellite" ที่ KWealth CIO Office คัดเลือกแล้วว่าเหมาะกับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตระยะยาวจากประเทศที่อยู่ในช่วง Early Growth Stage ซึ่งยังสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ



สรุป

นักลงทุนควรตระหนักว่า “ความผันผวนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าปล่อยให้ความผันผวนระยะสั้นทำให้หลุดจากเส้นทางการลงทุนระยะยาว” ในสภาวะตลาดส่วนใหญ่ การถือเงินสดหรือการหลีกเลี่ยงการลงทุนอาจดูปลอดภัยในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับทำให้พลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินเฟ้อได้ ดังนั้น การลงทุนอย่างสม่ำเสมอผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีระบบ จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

แนะนำหน้าที่เกี่ยวข้อง

Investment Advisory

แนะนำหน้าที่เกี่ยวข้อง

3 Pockets