Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​ ปี 2024 ที่ผ่านมาตลาดการลงทุนทั่วโลกได้เผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่องจากหลากหลายปัจจัย ทั้งจากการเมืองในประเทศ และการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ภาวะเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนภาพรวมของเศรษฐกิจและการลงทุนในปีที่ผ่านมา รวมถึงวิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อเป็นแนวทางสำหรับนักลงทุนในปี 2025 นี้


ตาราง : สรุปภาพรวมดัชนีที่สำคัญต่าง ๆ ในปี 2024

ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 2 ม.ค. 2025

กราฟ : MSCI World Index : 1 ม.ค. 2024– 31 ธ.ค. 2024

ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 2 ม.ค. 2025

เมษายน 2024
ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน - อิสราเอล



สงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอลปะทุขึ้นหลังจากความขัดแย้งทางการทหารยกระดับจากการโจมตีฐานทัพในซีเรีย ซึ่งอิสราเอลกล่าวหาว่าอิหร่านเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่ยิงขีปนาวุธข้ามพรมแดน อิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางอากาศในอิหร่าน เพื่อตอบโต้การโจมตีที่มีเป้าหมายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอิสราเอล

ผลกระทบ :
    • ตลาดน้ำมันและพลังงาน : ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ $86.91 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดในปี 2024 เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับเส้นทางขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซที่อาจถูกปิดกั้น  
    • ตลาดหุ้น : ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย เนื่องจากความกังวลเรื่องสงครามที่อาจขยายวงกว้าง  
    • พันธบัตรรัฐบาลและทองคำ : นักลงทุนแห่เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งปัจจัยดังกล่าว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาทองคำในปี 2024 ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์  

กราฟ : ราคาน้ำมัน WTI : 1 ม.ค. 2025 – 31 ธ.ค. 2025

ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 2 ม.ค. 2025

กราฟ : ราคาทองคำ XAU/USD : 1 ม.ค. 2024 – 31 ธ.ค. 2024

ที่มา : Bloomberg ณ วันที่ 2 ม.ค. 2025

5 สิงหาคม 2024
เหตุการณ์ Black Monday



        เหตุการณ์ Black Monday เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 เป็นวันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเอเชียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1987

สาเหตุหลัก : 
    • นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) : การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 0.25% และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและค่าเงินเยน ทำให้นักลงทุนกังวลและเทขายสินทรัพย์เสี่ยง 
    • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ : ข้อมูลการจ้างงานและอัตราการว่างงานที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย 
    • การเก็งกำไรและการใช้ Leverage สูง : นักลงทุนจำนวนมากใช้กลยุทธ์ Yen Carry Trade โดยกู้ยืมเงินเยนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่นสหรัฐฯ พอแนวโน้มดอกเบี้ยญี่ปุ่นเริ่มเป็นขาขึ้นในขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ กำลังเริ่มลดดอกเบี้ย ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าการ Unwind Yen Carry Trade ซึ่งส่งให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ประกอบกับตลาดผันผวน เพราะนักลงทุนกลุ่มที่ทำ Yen Carry Trade ต้องปิดสถานะและเทขายสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อนำไปแลกเงินเยน

ผลกระทบ :
    • ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงในวันเดียว ก่อนปรับตัวขึ้นในวันถัดมา
    • ญี่ปุ่น : ดัชนี Nikkei 225 ลดลงกว่า 12% หรือประมาณ 4,000 จุด ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น 
    • สหรัฐอเมริกา : ดัชนี Dow Jones ลดลง 2.6% ดัชนี Nasdaq ลดลง 3.43% และดัชนี S&P 500 ลดลง 3% 
    • ฮ่องกง : ดัชนี Hang Seng ลดลง 1.58% 
    • จีน : ดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.55% 
    • ไทย : ดัชนี SET ลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด ปิดที่ 1,274.67 จุด ลดลง 2.93%

สิงหาคม 2024
การเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีของไทย



ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลโดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยการชูนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ

นโยบายสำคัญ
    • การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินดิจิทัล (Digital Wallet) : แจกเงิน 10,000 บาทให้ประชาชน
    • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน : ลงทุนในโครงการก่อสร้าง เช่น รถไฟความเร็วสูง และระบบขนส่งสาธารณะ
    • การกระตุ้นการลงทุน : ส่งเสริมการลงทุนผ่านกองทุนวายุภักษ์และความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

ผลกระทบ : 
    • ตลาดหุ้นฟื้นตัว : หลังการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม
      • กลุ่มค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ได้รับผลดีจากนโยบายเงินดิจิทัล
      • กลุ่มก่อสร้างและวัสดุ ที่ได้แรงหนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
    • เงินทุนไหลเข้า (Capital Inflows) : นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและพันธบัตรของไทย เนื่องจากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น
    • ค่าเงินบาท : ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 3% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากความมั่นใจของตลาดในเสถียรภาพทางการเมือง

กันยายน 2024
การกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ของจีน (Bazooka Stimulus)



ก่อนช่วง Golden Week ในต้นเดือนตุลาคม รัฐบาลจีนประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ แผนนี้เรียกว่า "Bazooka Stimulus" ซึ่งประกอบด้วย
    • ลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ : ธนาคารกลางจีน (PBOC) ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% เพื่อกระตุ้นสินเชื่อและการลงทุน  
    • มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ : รัฐบาลประกาศโครงการให้เงินช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านครั้งแรก และสนับสนุนเงินกู้สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์  
    • การเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน : เปิดตัวโครงการก่อสร้างใหม่ เช่น รถไฟความเร็วสูงและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์  
    • การแจกเงินดิจิทัล (Digital Yuan) : ประชาชนได้รับ e-Voucher สำหรับใช้จ่ายในช่วง Golden Week  

ผลกระทบ :
    • ตลาดหุ้น : ดัชนี CSI 300 ของจีนปรับตัวขึ้น 8% ภายใน 2 วันหลังประกาศมาตรการ  
    • สินค้าโภคภัณฑ์ : ราคาทองแดงและเหล็กพุ่งขึ้น เนื่องจากการแนวโน้มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น  
    • ตลาดโลก : นักลงทุนเริ่มกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีการฟื้นตัว  

จุดเริ่มต้นของดอกเบี้ยขาลง
การปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)



ในปี 2567ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง เพื่อรับมือกับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024 :
    • ​การประชุมวันที่ 17 - 18 กันยายน 2024 :
      • Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% สู่ระดับ 4.75 - 5.00% ซึ่งเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี และเป็นการลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด (ตลาดคาด Fed จะลดดอกเบี้ยเพียง 0.25%)
      • สาเหตุ: เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณอ่อนลง และเพื่อให้แน่ใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนตัวไปสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน 
    • การประชุมวันที่ 6 - 7 พฤศจิกายน 2024 :
      • Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.25 - 4.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ 
      • สาเหตุ: เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น 
    • การประชุมวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2024 :
      • Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.00 - 4.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่ 3 ในปีนี้ 
      • สาเหตุ: เพื่อรับมือกับการลดลงต่อเนื่องของเงินเฟ้อที่ไม่ใช่เรื่องง่าย และความไม่แน่นอนทางนโยบายที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายภายใต้รัฐบาลใหม่ 

ผลกระทบ :
    • หลังการประชุมเดือนกันยายน 2024 : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในช่วงแรก โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์บวกขึ้นไปถึง 300 จุด หลังการประกาศ ก่อนจะปรับลดลงมาปิดลบ เนื่องจากตลาดรับสัญญาณบวกไปก่อนหน้าแล้ว 
    • หลังการประชุมเดือนธันวาคม 2024 : ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนัก โดยลดลง 1,123.03 จุด หรือ 2.58% สู่ระดับ 42,326.87 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1974 นักลงทุนผิดหวังที่ Fed ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

        จะเห็นได้ว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นมีความผันผวน โดยในบางครั้งตลาดตอบสนองในเชิงบวกต่อการลดดอกเบี้ย แต่ในบางครั้งกลับตอบสนองในเชิงลบ เนื่องจากความคาดหวังของนักลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของ Fed

ศึกชิงทำเนียบขาว 2024
การกลับมาอีกครั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์



การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 โดย โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน เอาชนะ คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต กลับเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สอง

ผลกระทบ :
    • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : หลังการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการตอบสนองเชิงบวก ดัชนีสำคัญ เช่น S&P 500, Dow Jones และ Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้น 
    • นโยบายของทรัมป์ : การกลับมาของทรัมป์คาดว่าจะนำมาซึ่งนโยบายต่าง ๆ เช่น 
      • นโยบาย "America First"  เพื่อส่งเสริมการผลิตและการจ้างงานในประเทศ ด้วยการลดภาษีและการลดกฎระเบียบ 
      • สงครามการค้าและความเปลี่ยนแปลงในพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น การตั้งกำแพงภาษี การควบคุมพรมแดนที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการปรับอัตราดอกเบี้ย 

บทสรุป
ปี 2024 แม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็ยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทน การปรับพอร์ตและกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นหัวใจสำคัญ หากต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนในปี 2025 และประเด็นสำคัญในอนาคต สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ตีแผ่ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก เจาะประเด็นกลยุทธ์การลงทุนปี 2025 คลิก​

วรสุดา ใช้เทียมวงศ์ CFP®

บทความอื่น ๆ ประจำเดือน

FAITH AND FORTUNE
เปิดชะตา 12 ราศี ประจำปีมะเส็ง 2025 วางแผนชีวิตก่อนใคร เสริมโอกาสแห่งความสำเร็จ และ โชคลาภตลอดปี
readmore_specialreport_nov2024


THE EXPLORER
อร่อยรับตรุษจีนปีมะเส็ง กับ 6 ร้านอาหารจีนสุดพิเศษทั่วกรุง เสิร์ฟเมนูตำรับแดนมังกร
readmore_specialreport_nov2024
SPECIAL PRIVILEGE ​

สิทธิพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำประจำเดือนมกราคม
readmore_privilege_nov2024 


กลับ