Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

        ปี 2023 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดทุนทั่วโลก ท่ามกลางปัจจัยท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ กดดันสินทรัพย์เสี่ยงไปทั่วโลก  ภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงได้ช้า สงคราม รวมไปถึงปัจจัยความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศต่างๆ จากเหตุการณ์เด่นรอบโลกในปี 2023 สรุปได้ดังนี้




1. จีนประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ  

        เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2023 หลังจากประเทศจีนได้ดำเนินนโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" มาเป็นเวลานาน ซึ่งนโยบายนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ดังนั้นการกลับมาเปิดประเทศของจีนจึงถือเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจโลก โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ต่างก็คาดว่าจะมีผลกระทบในด้านบวก ดังนี้ 

    • ช่วยกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ การกลับมาเปิดประเทศของจีนช่วยกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของสินค้าและบริการระหว่างประเทศ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของจีน เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    • ช่วยบรรเทาปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลก จากการที่จีนเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและบริการที่สำคัญของโลก การเปิดประเทศขจึงสามารถส่งออกสินค้าและบริการไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น
    • ช่วยชะลอการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ประเทศจีนเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก จึงมีส่วนช่วยเพิ่มอุปสงค์สินค้าและบริการจากทั่วโลก ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ 

        อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน สถานการณ์การลงทุนในประเทศจีน ก็กลับไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาจากด้านวิกฤตอสังหาริมทรัพย์



2. วิกฤตสภาพคล่อง Country Garden Holdings Co., Ltd. 

        ปัญหาสภาพคล่องของ Country Garden Holdings Co., Ltd. หรือ Country Garden สาเหตุหลัก คือ การที่รัฐบาลจีนดำเนินนโยบายควบคุมการขยายตัวของหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวด ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ โดยผลกระทบของวิกฤตสภาพคล่อง Country Garden ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งต่อภาคเศรษฐกิจ ภาคการเงิน และภาคการลงทุนของจีน ดังนี้ 

    • ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในจีน โดยมีสัดส่วนถึงประมาณ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน จึงส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ 
    • ส่งผลกระทบต่อภาคการเงิน โดยธนาคารหลายแห่งมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหาทางการเงิน
    • ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะ นักลงทุนต่างวิตกกังวลว่าวิกฤตนี้จะลุกลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า 

        จนถึงปัจจุบัน แม้ว่ารัฐบาลจีนได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ แต่มาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตได้อย่างเต็มที่ โดยหากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลกได้



3. เหตุการณ์แบงก์ล้ม SVB หรือธนาคาร SVB Financial Group

        เหตุการณ์แบงก์ล้ม SVB หรือธนาคาร SVB Financial Group เกิดขึ้นเมื่อเดือน มีนาคม 2023 โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Deposit Insurance Corporation: FDIC) ได้ประกาศเข้าควบคุมธนาคาร SVB และสั่งปิดธนาคารดังกล่าวชั่วคราว เนื่องจากธนาคารประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักจากการที่ลูกค้าแห่ถอนเงินออกจากธนาคารเป็นจำนวนมาก สาเหตุของการล้มละลายของธนาคาร SVB นั้น มาจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความผันผวนของตลาดหุ้นและตลาดคริปโตเคอเรนซี รวมไปถึง สภาพคล่องที่ตึงตัวของตลาดเงิน 

        การล้มละลายของธนาคาร SVB นั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในวงการธนาคารของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2008 โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง โดยผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคาร SVB นั้น ครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่

    • ด้านการเงิน : ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดการเงิน และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น
    • ด้านการลงทุน : ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพและธุรกิจเทคโนโลยี
    • ด้านเศรษฐกิจ : ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก 

        สำหรับประเทศไทยนั้น แม้ว่าผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคาร SVB จะจำกัดอยู่เพียงวงจำกัด เนื่องจากธนาคารในประเทศไทยไม่ได้มีธุรกรรมโดยตรงกับธนาคาร SVB มากนัก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดการเงินไทยได้บ้าง



4. การเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) 

        นายคาซูโอะ อูเอดะ (Kazuo Ueda) เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ BOJ คนใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2023 ต่อจากนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ โดยจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5ปี โดยนายอูเอดะเป็นอดีตศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว และเป็นผู้ว่าการ BOJ คนแรกที่มาจากสายวิชาการนับตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมา 

        การเปลี่ยนผู้ว่าการนี้มีความสำคัญต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของญี่ปุ่น โดยฝ่ายงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนกสิกรไทยประเมินว่านโยบายการเงินของ BOJ จะดำเนินไปในทิศทางตึงตัวมากขึ้น จากแรงกดดันเงินเฟ้อฝั่งอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกับสหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยที่อาจทำให้ BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อปกป้องค่าเงินเยน ซึ่งนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดหุ้นทั่วโลก



5. การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของไทย

        การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของไทย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2023 (พ.ศ. 2566) โดยคนไทยออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คิดเป็น 75.71% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งที่ค่อนข้างพลิกความคาดหมาย เนื่องจากพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ได้ส.ส.รวม 151 คน พรรคเพื่อไทย 141 คน, พรรคภูมิใจไทย 71 คน, พรรคพลังประชารัฐ 40 คน นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้พรรคที่ได้คะแนนเสียงรองลงมาจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ในขณะที่พรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ต้องเป็นพรรคฝ่ายค้าน โดยในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดี จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ได้แก่ 

    • ความคาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ดีขึ้น หลังจากรัฐบาลชุดปัจจุบันบริหารประเทศมาเป็นเวลา 8 ปี
    • นโยบายของพรรคการเมืองที่นำเสนอมีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
    • เศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 

        อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทย กลับให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามคาด โดยดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลงต่อเนื่อง และหลุดระดับ 1,400 จุด ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3ปี จากปัจจัยกดดันดังนี้ 

    • ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางการเงินและความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจจากนโยบายของภาครัฐฯ
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเช่นหุ้น มาอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า เช่น พันธบัตร ทองคำ เป็นต้น
    • สถานการณ์ความไม่สงบระหว่าง อิสราเอลและกลุ่มฮามาส



6. การประชุม Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

        การประชุม Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 คณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Politburo) ได้มีการประชุมโดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธานการประชุม ในที่ประชุมได้มีการส่งสัญญาณฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ แก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ โดยมีเนื้อหาสำคัญ ดังนี้ 

    • นโยบายการคลัง ยังคงใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะมีการเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในภาคการผลิต และการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ภาคธุรกิจและประชาชน
    • นโยบายการเงิน ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงการขยายวงเงินสินเชื่อ
    • นโยบายอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านการเงินและการลงทุน รวมถึงการกระตุ้นการโอนกรรมสิทธิ์และการขายบ้าน
    • ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น โดยจะมีการปรับปรุงระบบการเงินการคลังของรัฐบาลท้องถิ่น และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลท้องถิ่นที่มีปัญหาหนี้สิน
    • การกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ โดยจะมีการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว 

        โดยภาพรวม การประชุม Politburo ครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจีนมีความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและครอบคลุมทุกภาคส่วน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนและเศรษฐกิจจีนโดยรวม

        อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงไม่ตอบรับการส่งสัญญาณดังกล่าว นักลงทุนต่างชาติ ยังคงเทขายหุ้นออกจากจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปว่ารัฐบาลจีนจะสามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้และเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้หรือไม่



7. ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส 

        ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ปะทุขึ้นอีกครั้งในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 หลังกลุ่มติดอาวุธฮามาสในปาเลสไตน์เปิดฉากยิงจรวดหลายพันลูกใส่อิสราเอลโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า โดยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลได้เข้าสู่ภาวะสงครามแล้ว และเร่งเตือนให้ประชาชนอพยพออกจากฉนวนกาซา การสู้รบอย่างดุเดือดยังคงยืดเยื้อมาถึง ณ ปัจจุบัน แม้มีการคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบในวงจำกัด อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก


ที่มา : Bloomberg 13Nov23  

ควรลงทุนอย่างไร เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด 

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2023 สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการคาดการณ์อย่างรอบคอบ อย่าคาดหวังมากเกินไป เพราะสถานการณ์การลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ท่ามกลางความผันผวนของตลาดทุน การวางแผนการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เช่น 

    • จัดสัดส่วนลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยง
    • แบ่งไม้ ทยอยลงทุน เพื่อกระจายช่วงเวลาในการซื้อ
    • ติดตามการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือ ปรับพอร์ตอย่างน้อยปีละ 1 - 2 ครั้ง โดยการปรับพอร์ตอาจพิจารณาเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์หรือภูมิภาคที่มีพื้นฐานดีและมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ หรือปรับลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดลง เป็นต้น
    • เลือกลงทุนในกองทุนผสม หรือ Multi-Asset ที่มีการจัดสัดส่วนการลงทุนและปรับพอร์ตโดยผู้เชี่ยวชาญ 

        โดยสรุปแล้ว การลงทุนที่ดีควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้และกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด นอกจากนี้ ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

วรสุดา ใช้เทียมวงศ์ CFP®
Integrated Investment Advisory Chapter Pool 

กองทุนรวมที่น่าสนใจ
กองทุนรวมตราสารหนี้
เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาลง
อ่านรายละเอียดกองทุน
 
กองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS
K-SFPLUS

K-PLAN1

K-FIXEDPLUS

K-GB-A(D)



กองทุนรวมผสมบนบริการ K WEALTH PLUS
ลดความเสี่ยง สร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ
อ่านรายละเอียดบริการ


กองทุนรวมหุ้นกลุ่มสุขภาพ
ที่มีศักยภาพเติบโตได้ทุกสถานการณ์
อ่านรายละเอียดกองทุน
 
กองทุน
ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS
K-GHEALTH

KGHRMF




กลับ