Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content

​​​​​​        ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างรสและกลิ่นที่ไม่มีเครื่องดื่มใดเทียบได้ ทำให้ “ไวน์” เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ครองใจใครหลายคน ซึ่งมั่นใจว่าหลายท่านน่าจะเคยมีความคิดว่าอยากลองไปเยี่ยมชมแหล่งกำเนิดของไวน์ที่ชื่นชอบดูสักครั้ง วันนี้เราจึงขอนำคุณผู้อ่านออกเดินทางสู่ 4 สถานที่ผลิตไวน์ชั้นนำ ทั้งด้านศาสตร์และศิลป์ ให้คุณได้เยี่ยมเยือนและเลือกไวน์ขวดที่ใช่กันค่ะ 

Bordeaux – France



        สวรรค์ของคนรักไวน์อย่าง “บอร์โด” ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ขนาบด้วยอ่าวบิสเคย์ทางด้านตะวันตกและแม่น้ำการอนทางด้านตะวันออก โอบล้อมด้วยไร่องุ่นและอาคารบ้านเรือนสุดเก่าแก่ที่ห่อหุ้มเนินเขาน้อยใหญ่ตลอดพื้นที่ของเมือง ให้คุณได้สัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม และพื้นที่เกษตรกรรมอย่างใกล้ชิด


เกษตรกรรมไร่องุ่นในบอร์โด ซึ่งยังคงมีการทำแบบดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ 

        บอร์โดนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการผลิตไวน์หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ไวน์แดง Cabernet Sauvignon, Merlot และ Cabernet Franc ไปจนถึงไวน์ขาว Sauvignon Blanc, Sémillon และ Sauvignon Gris ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไวน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ เหตุผลที่ไวน์จากบอร์โดมีมากมายนั้นเป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมกับองุ่นหลากหลายสายพันธุ์ รวมถึงสภาพอากาศในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ความเย็นกำลังดี สลับกับฝนที่ช่วยให้องุ่นนั้นมีคุณภาพนั่นเอง


Château Lafite Rothschild Pauillac หนึ่งในไวน์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปัจจุบัน
ภาพจากเว็บไซต์ Domaines Barons de Rothschild 

        ด้วยองค์ประกอบอันสมบูรณ์แบบของภูมิภาคนี้ จึงทำให้บอร์โดผลิตไวน์มูลค่าสูงออกมาได้อย่างมากมาย รวมถึง 1869 Château Lafite Rothschild Pauillac หนึ่งในไวน์แดงระดับ 1er Cru Classé ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 230,000 เหรียญสหรัฐฯ (8,400,000 บาท) เลยทีเดียว พร้อมได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งในไวน์ที่มีราคาสูงที่สุดในโลก 

        นอกจากนี้ บอร์โดยังเป็นต้นกำเนิดของเกณฑ์จัดอันดับไวน์ชื่อดังอย่าง The Bordeaux Wine Official Classification of 1855 ที่ใช้ในการคัดเกรดไวน์จากเขตต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ไวน์จากบอร์โดนั้นเปรียบเสมือนมาตรฐานที่ไม่มีผู้ใดเทียบชั้นได้


Château Margaux วินยาร์ดชื่อดังของบอร์โด
ภาพจากเว็บไซต์และ Instagram Château Margaux 

        ในมุมของชาโตว์ ที่บอร์โดก็มีให้ได้เลือกเยี่ยมชมเช่นกัน ตั้งแต่การทัวร์ Château Margaux สุดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณต้นแม่น้ำการอน หรือจะเป็น Château Lafite Rothschild วินยาร์ดต้นกำเนิด ที่ปัจจุบันมีไร่องุ่นกระจายอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่ในอาร์เจนตินาไปจนถึงจีน รวมถึงชาโตว์อื่น ๆ อีกมาก พร้อมให้คุณได้เห็นกรรมวิธีการบ่ม ไปจนถึงลิ้มรสจากถังไวน์กันเลยทีเดียว


พิพิธภัณฑ์ La Cité du Vin และจตุรัส Place de la Bourse
ภาพแรกจาก Instagram La Cité du Vi 

        ไม่ใช่แค่ไร่องุ่นเท่านั้นที่มีดี แต่บอร์โดยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจเช่นกัน ทั้งพิพิธภัณฑ์ La Cité du Vin ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ Place de la Bourse จตุรัสกลางเมืองซึ่งได้รับการจัดตั้งให้เป็นมรดกโลกในปี 2007 โดย UNESCO รวมถึงหอระฆัง Grosse Cloche ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 และยังคงตั้งตะหง่านมาจนถึงปัจจุบัน 

Rhône Valley – France



        ถัดมาทางฝั่งตะวันออกของฝรั่งเศสนั้นมีอีกหนึ่งพื้นที่อย่าง “หุบเขาโรน” ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์ไม่แพ้กัน หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์นี้ร้อยเรียงเส้นทางผ่านแม่น้ำโรนซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่พรมแดนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ยาวลงไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยความยิ่งใหญ่ของพื้นที่นี้เอง จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของฝรั่งเศส โดยผลิตได้ถึง 400 ล้านขวดต่อปี


หุบเขาโรน พื้นที่ผลิตไวน์ที่สำคัญของฝรั่งเศสตะวันออก
เหมือนเป็นภาพเดียวกัน ดูไม่แตกต่าง แก้ไขเรียบร้อย 

        โรนแบ่งพื้นที่ผลิตไวน์ออกเป็น 2 เขตหลัก ๆ คือ โรนเหนือ และ โรนใต้ โดยไวน์จากทั้งสองพื้นที่นั้นจะมีรสชาติเฉพาะตัว เนื่องจากสภาพอากาศและภูมิประเทศที่ค่อนข้างแตกต่างกัน จึงทำให้ใช้องุ่นต่างประเภทในการปลูก


Château d’Ampius หนึ่งในวินยาร์ดหลักของโรนเหนือ
ภาพจากเว็บไซต์ E. Guigal 

        ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมานี้เอง จึงทำให้บริเวณหุบเขาโรนมีไวน์ให้เลือกมากมาย โดยไวน์ชื่อดังจากทางเหนือนั้นมีทั้ง Hermitage อันเก่าแก่ที่มีรสชาติซับซ้อน หรือ Côte-Rôtie ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของรสและกลิ่นองุ่นซีราห์ที่เข้มข้น ไปจนถึงไวน์ประเภทอื่น ๆ ที่ผลิตด้วยองุ่นซีราห์อย่าง Crozes-Hermitage, Cornas และ Saint-Joseph ในขณะเดียวกัน ทางใต้นั้นก็มีทั้งไวน์แดงอย่าง Châteauneuf-du-Pape ซึ่งเบลนด์องุ่นหลากหลายสายพันธุ์เข้าด้วยกัน รวมถึงไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Gigondas, Vacqueyras, และ Côtes du Rhône Villages ที่ใครหลายคนคุ้นเคยกันดี


Domaine de la Chapelle Hermitage La Chapelle ไวน์ระดับชั้นนำแห่งหุบเขาโรน
ภาพจาก Facebook Domaines Paul Jaboulet Aîné 

        ในบรรดาไวน์อันหลากหลายจากหุบเขาโรนนั้น มีไวน์ขวดหนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมมาอย่างช้านาน นั่นก็คือ 1961 Domaine de la Chapelle Hermitage La Chapelle ไวน์แดงรุ่นบุกเบิกของ Paul Jaboulet Aîné ซึ่งมีรสเข้มอย่างเป็นเอกลักษณ์ โดยในปัจจุบันไวน์รุ่นนี้มีมูลค่ากว่า 18,700 เหรียญสหรัฐ (685,000 บาท)


โบสถ์ Notre-Dame de Fourvière และสะพานหิน Pont d'Arc ประจำหมู่บ้าน Vallon-Pont-d'Arc 

        นอกจากไร่องุ่นตลอดแนวของหุบเขาโรนที่คุณสามารถเยี่ยมชมและซื้อไวน์ที่คุณถูกใจเป็นของฝากแล้ว ในเส้นทางเดียวกันนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายให้คุณได้เปิดประสบการณ์เช่นกัน ตั้งแต่โบสถ์ Notre-Dame de Fourvière บนเนินเขาที่คุณสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองลียงได้รอบทิศ หรือการพักผ่อนในหมู่บ้าน Vallon-Pont-d'Arc ที่รอให้คุณได้สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตแบบชนบทฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด 

Tuscany – Italy



        อิตาลีเป็นประเทศที่รุ่มรวยทั้งในด้านของศิลปะและอาหารการกินอย่างแท้จริง ด้วยความพิถีพิถันและตั้งใจที่จะอนุรักษ์ความดั้งเดิมของสิ่งต่าง ๆ ไว้ จึงทำให้ประเทศนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทางด้านวัฒนธรรมมาอย่างช้านาน เช่นเดียวกับการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงไม่ต่างจากในฝรั่งเศสหรือประเทศชั้นนำอื่น ๆ ซึ่ง “ทัสคานี” ดินแดนตอนกลางของอิตาลี ถือเป็นภูมิภาคชั้นนำที่รังสรรค์ไวน์คุณภาพดีออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ


สภาพภูมิประเทศของทัสคานีที่เป็นเนินเขาสูง เหมาะแก่การปลูกองุ่นชั้นดี 

        ความอบอุ่นของอากาศจากทะเลติร์เรเนียนทางด้านตะวันตก ประสานกับเนินเขาที่ความสูง 150–500 เมตรจากระดับน้ำทะเล รวมถึงแร่ธาตุสำคัญในผืนดิน คือ กุญแจสำคัญที่ทำให้องุ่น Sangiovese จากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในระดับพรีเมียม ช่วยให้ความเป็นกรดและความหวานนั้นไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป จึงทำให้ไวน์จากพื้นที่นี้นั้นออกมามีคุณภาพและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก


องุ่น Sangiovese พันธุ์ท้องถิ่นในแถบทัสคานี 

        กว่า 8 ใน 10 ของไวน์จากทัสคานีนั้นเป็นไวน์แดง ซึ่งในแต่ละไวน์มีจะการเบลนด์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ยังคงใช้องุ่น Sangiovese เป็นตัวชูโรง ตั้งแต่ Chianti ซึ่งบ่มจากองุ่นที่เติบโตในจุดที่อากาศแห้งกว่าบริเวณอื่น ๆ ของทัสคานี ช่วยให้รสและกลิ่นนั้นออกมาเหมือนกับราสป์เบอร์รี ดุดันกว่าไวน์ตัวอื่น ๆ หรือจะเป็น Brunello di Montalcino ที่เข้มข้นไม่แพ้กัน ให้รสชาติที่มีความซับซ้อนและน่าค้นหา รวมถึงโมเดิร์นไวน์ที่ผู้อ่านรู้จักกันดีอย่าง Super Tuscans ที่เบลนด์ Sangiovese เข้ากับองุ่นจากสายพันธุ์ต่างถิ่น แต่ยังคงคุณภาพไว้ในระดับชั้นนำ


Tenuta San Guido Sassicaia Bolgheri ไวน์ที่ได้รับตรา DOC
(ผลิตในพื้นที่ที่ได้รับการรับรองและปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด)
ภาพจากเว็บไซต์และ Instagram Tenuta San Guido 

        หากคุณต้องการสัมผัสไวน์ระดับเรือธงจากทัสคานีแล้ว คงหนีไม่พ้น 1985 Tenuta San Guido Sassicaia Bolgheri ที่ได้ชื่อว่าเป็นไวน์แดงที่ดีสุดจากแหล่งผลิตนี้ ด้วยสัมผัสแบบ Full-Body พร้อมด้วยความหนักแน่นของรสชาติจากองุ่น Cabernet Franc และ Cabernet Sauvignon จึงทำให้ในปัจจุบันขวดดังกล่าวมีต้องการสูง พร้อมด้วยมูลค่ากว่า 3,600 เหรียญสหรัฐฯ (132,000 บาท)


Badia a Passignano และ Biondi-Santi สองแหล่งเพาะปลูกสำคัญของทัสคานี
ภาพจาก Instagram Marchesi Antinori และเว็บไซต์ Biondi-Santi 

        การเยี่ยมชมแหล่งเพาะปลูกไวน์ในทัสคานีถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะพื้นที่ดังกล่าวนี้มีวัฒนธรรมการผลิตไวน์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอารยธรรมอิทรัสคัน หรือกว่า 2,500 ปีที่แล้ว จึงอาจเห็นได้ว่าห้องเก็บไวน์หรืออาคารต่าง ๆ ยังคงมีความคลาสสิก เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคกลางของยุโรป


อาสนวิหาร Santa Maria del Fiore หรือ Duomo, หอศิลป์ Uffizi และแถบ Val d'Orcia 

        หรือหากคุณต้องการเยี่ยมชมสถานทีท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ทัสคานีก็มีให้คุณได้เลือกหลากหลายรูปแบบเช่นกัน อย่างการแพลนทริปสบาย ๆ ในฟลอเรนซ์ซึ่งมีทั้งอาสนวิหาร Santa Maria del Fiore หรือที่รู้จักกันในนาม Duomo, หอศิลป์ Uffizi รวมถึงร้านอาหารต่าง ๆ ตลอดเส้นทางภายในเมือง ที่ผสมผสานอาหารอิตาเลียนเข้ากับไวน์ท้องถิ่นได้อย่างลงตัว หรือหากคุณกำลังมองหาธรรมชาติและทุ่งกว้างสุดละลานตา การแพลนทริปสู่ Val d'Orcia ในละแวกใกล้เคียงกันก็ถือเป็นจุดหมายที่น่าเก็บไว้พิจารณาไม่น้อย 

La Rioja – Spain



        สเปนอาจไม่ใช่ประเทศแรก ๆ สำหรับใครหลายคนหากพูดถึงไวน์ชั้นนำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่ “ลา ริโอฆา” ทางตอนเหนือของแดนกระทิงดุนี้เองที่ผลิตไวน์ระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากทั้งในแง่ของการผลิตไวน์หรือการท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนหย่อนใจ

        ลา ริโอฆา ตั้งอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง รายล้อมด้วยเทือกเขากันตาเบรีย พาดผ่านด้วยแม่น้ำเอโบร รวมถึงสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบริเวณดังกล่าวนี้ถึงเป็นพื้นที่เพาะปลูกองุ่นที่มีคุณภาพ


องุ่น Tempranillo ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักของ ลา ริโอฆา ที่ใช้ในการผลิตไวน์ 

        Tempranillo ถือเป็นองุ่นแดงที่ทุกเขตในพื้นที่แห่งนี้เลือกใช้ในการผลิตไวน์เป็นหลัก ด้วยความเป็นองุ่นท้องถิ่น มีรสจัดจ้าน แต่ยังคงถึงสัมผัสของความละมุน อีกทั้งยังเหมาะกับการบ่มในระยะเวลานาน จึงทำให้ครองใจทั้งผู้ผลิตและผู้ดื่ม เปรียบเสมือนเครื่องหมายการค้าของไวน์จากดินแดนแห่งนี้


ภาพจากเว็บไซต์ Bodegas Marqués de Murrieta และ Instagram Ysios Winery 

        แม้จะใช้องุ่นประเภทเดียวกัน แต่ขั้นตอนการผลิตนั้นกลับใช้กรรมวิธีที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละเขต อย่างใน Rioja Alta ทางด้านตะวันตกซึ่งอากาศเย็นและมีฝนชุกกว่า ทำให้รสไวน์ค่อนข้างสมดุล ไม่มีสัมผัสหรือกลิ่นใดที่เด่นไปกว่ากัน อาทิ Marqués de Murrieta หรือ La Rioja Alta, S.A. หรือในเขต Rioja Baja/Oriental ที่อากาศแห้งกว่า เหมาะกับการผลิตไวน์ที่มีประมาณแอลกอฮอล์สูงและมีรสเข้ม อย่าง Bodegas Palacios Remondo หรือ Barón de Ley และในเขต Rioja Alavesa ที่สภาพอากาศคล้ายคลึงกับ Rioja Alta แต่ประเภทดินนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งทำให้ไวน์ที่ผลิตออกมานั้นมีกลิ่นอโรมา ทั้ง Bodegas Artadi และ Remelluri


Remirez de Ganuza Gran Reserva ไวน์ระดับพระกาฬจากแถบ Rioja Alavesa
ภาพจากเว็บไซต์และ Instagram Remírez De Ganuza 

        นอกจากนี้ ในแถบ Rioja Alavesa นั้นยังมีไวน์อีกฉลากหนึ่งอย่าง 2004 Remirez de Ganuza Gran Reserva ซึ่งเป็นไวน์แดงรสกลมกล่อมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในร้านอาหารสเปนระดับ High-End ด้วยความต้องการนี้เองที่ทำให้ในปัจจุบันมีราคาสูงถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ (36,000 บาท)


มหาวิหาร Santa María de la Redonda
พร้อมถนนคนเดินย่าน Calle del Laurel ซึ่งขายปินโชหลากหลายรูปแบบตลอดเส้นทาง 

        หลังจากเพลิดเพลินกับการเยี่ยมชมไร่องุ่นจากเขตต่าง ๆ แล้ว ที่ ลา ริโอฆา ยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่น่าเยี่ยมชมและลิ้มรสด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจในเมือง Logroño ซึ่งมีทั้งมหาวิหาร Santa María de la Redonda รวมถึงย่าน Calle del Laurel แหล่งรวมบาร์เล็ก ๆ มากมายที่เต็มไปด้วยเมนูประเภทปินโช (ทาปาสแบบตอนเหนือของสเปน) เสียบไม้พอดีคำ ตั้งแต่ซีฟู้ด ปลา หมู ชีส ไปจนถึงพืชผักต่าง ๆ คู่กับเครื่องดื่มอย่างเบียร์หรือไวน์ท้องถิ่น


บรรยากาศของร้าน Bisou ย่านหลังสวน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของไวน์ระดับแนวหน้า
พร้อมด้วยไวน์ Barolo จากร้าน Gianni ในละแวกใกล้เคียงกัน
ภาพจาก Facebook Bisou Bangkok และ Gianni Ristorante 

        ด้วยรสชาติและความพิถีพิถันในการผลิตไวน์จากดินแดนเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดเครื่องดื่มดังกล่าวถึงได้รับการยอมรับและความนิยมจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในบ้านเราเช่นกันที่มีหลากหลายร้านอาหารชั้นนำพร้อมจัดสรรขวดที่ใช่ไว้รอให้คุณได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นที่ Bisou ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ประยุกต์ในย่านหลังสวน ตรงข้ามกับ สินธร วิลเลจ ที่มีไวน์ระดับ 1er Grand Cru Classé A อย่าง Château Angelus รวมถึง Bollinger Spécial Cuvée แชมเปญสีทองชื่อดังสุดนุ่มละมุน ไปจนถึงร้านเก่าแก่ในละแวกใกล้เคียงอย่าง Gianni ณ ชั้น G ของอาคารแอทธินี ทาวเวอร์ ที่พร้อมเสิร์ฟไวน์ชั้นนำจากทั่วอิตาลี ทั้ง Gaja Conteisa Barolo ราชาไวน์อิตาลีจากแคว้นปิเยมอนเต หรือ Gianfranco Soldera Sangiovese 100% Case Basse ชั้นเลิศจากแคว้นทัสคานี รวมถึงร้านอาหารอื่น ๆ อีกมากมายที่เตรียมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้คุณ 

        เห็นอย่างนี้แล้ว คุณผู้อ่านท่านใดต้องการออกเดินทางท่องโลกของการผลิตไวน์ ลองเก็บ 4 สถานที่ระดับท็อปเหล่านี้ไว้ในใจ แล้วแพลนทริปที่ใช่ไปด้วยกันนะคะ

บทความอื่น ๆ ประจำเดือน

SPECIAL REPORT


THE EXPLORER

SPECIAL PRIVILEGE : สิทธิพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำประ​จำเดือนกรกฎาคม
 




กลับ